ยินดีต้อนรับ

พลเมืองที่รอบรู้เท่าทัน คือ พลังประชาธิปไตยที่แท้จริง
Well-informed citizens are the true democratic forces.

Tuesday, February 4, 2025

สิ่งที่โดนัล ทรัมพ์ทำ กับมิติที่คนมีอคติหรือสติปัญญาหดหายจะมองไม่เห็น

 

โดนัลด์ ทรัมป์ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2017–2021 และดำเนินนโยบายที่มุ่งเน้นให้ “อเมริกามาก่อน” (America First) ซึ่งเป็นแนวทางที่เน้นความเข้มแข็งของสหรัฐฯ ในทุกด้าน ตั้งแต่เศรษฐกิจ การทหาร และนโยบายต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อรักษาสถานะความเป็นมหาอำนาจของอเมริกา และโดยอ้อมก็เพื่อสร้างเสถียรภาพของโลกในแบบที่สหรัฐฯ เป็นผู้กำหนดได้ โดยไม่เกิดความเสี่ยงต่อการไถลไปสู่การสิ้นสุดของมวลมนุษยชาติ



1. การฟื้นฟูเศรษฐกิจสหรัฐฯ เพื่อเสริมสร้างอำนาจทางการเมืองและการทหาร

ทรัมป์ใช้มาตรการลดภาษีครั้งใหญ่ (Tax Cuts and Jobs Act 2017) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้ตลาดแรงงานขยายตัวและอัตราว่างงานลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบหลายสิบปี

ดึงดูดการลงทุนกลับเข้าสหรัฐฯ โดยลดกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อภาคธุรกิจ ส่งเสริมการผลิตภายในประเทศ ทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่งก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19

นโยบายพลังงานที่ผลักดันให้สหรัฐฯ กลายเป็นผู้ผลิตพลังงานรายใหญ่ที่สุดของโลก ทำให้ไม่ต้องพึ่งพาน้ำมันจากตะวันออกกลาง ลดข้อจำกัดด้านภูมิรัฐศาสตร์ และเพิ่มอำนาจต่อรองของสหรัฐฯ บนเวทีโลก

 การตั้งเพดานภาษีนำเข้า เพื่อลดการขาดดุลการค้า เพื่อเพิ่มฐานะทางการเงินของประเทศ ลดหนี้สิน

 การลดการสิ้นเปลืองในการใช้จ่ายงบประมาณจากภาษีของประเทศอย่างละเอียดยิบ โดยใช้อีลอน มัสก์ช่วยเจาะหาสิ่งที่ซ่อนเป็นพยาธิที่กัดกร่อนดูดเงินภาษีอากรไปสู่กระเป๋าของผู้เกี่ยวข้องในทุกด้านอย่างละเอียด  

 สร้าง Sovereign Wealth Fund (SWF) เพื่อสร้างความมั่งคั่งจากทรัพย์สินของประเทศทุกชนิดแล้วเอามาทำเป็นกองทุน เพื่อเสถียรภาพและความมั่นคงทางการเงินและประกันสังคมอย่างยั่งยืน

ผลต่อระดับโลก:

เศรษฐกิจที่เข้มแข็งช่วยให้สหรัฐฯ มีงบประมาณมากขึ้นสำหรับกองทัพ การลงทุนในเทคโนโลยี และการรักษาเสถียรภาพทั่วโลก หากสหรัฐฯ อ่อนแอทางเศรษฐกิจ ก็จะลดบทบาทลงในเวทีโลก เปิดโอกาสให้มหาอำนาจคู่แข่ง เช่น จีนและรัสเซีย เข้ามามีอิทธิพลแทน


2. นโยบายความมั่นคง: เสริมสร้างกองทัพและความแข็งแกร่งทางภูมิรัฐศาสตร์

ทรัมป์เพิ่มงบประมาณกลาโหมอย่างมหาศาล ทำให้กองทัพสหรัฐฯ มีศักยภาพสูงขึ้นในด้านเทคโนโลยี การพัฒนาอาวุธ และการป้องกันประเทศ

ฟื้นฟูกลยุทธ์การป้องปราม (Deterrence Strategy) โดยแสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯ พร้อมใช้กำลังทางทหารเมื่อจำเป็น เช่น การสังหารนายพลกาเซ็ม สุไลมานี ของอิหร่าน ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนต่อรัฐผู้สนับสนุนการก่อการร้าย

สนับสนุนพันธมิตร NATO แต่กดดันให้ประเทศสมาชิกอื่นเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมเพื่อแบ่งเบาภาระของสหรัฐฯ

 การระดมสรรพกำลังจัดระเบียบทวีปอเมริกากลางและใต้ เพื่อต้านอิทธิพลจีนที่รุกคืบเข้าไปฝังอิทธิพลต่าง ๆ อย่างย่ามใจในยุคไบเด้น  โดยใช้อำนาจทางเศรษฐกิจและการทหารบีบและซื้อเพื่อเขี่ยจีนออกไปให้สำเร็จ

 จัดระเบียบเขตแดนทางเหนือกับแคนาดา และทางใต้กับเม็กซิโก เพื่อปิดผู้อพยพผิดกฎหมายที่เป็นภาระและความเสี่ยงทางความมั่นคงและการส่งสิ่งเสพติดเข้าอเมริกาผ่านทั้งสองทางอย่างเด็ดขาด พร้อมกับผลักดันสิ่งแปลกปลอมที่ถูกปล่อยเข้าประเทศอย่างล้นหลามในยุคไบเด้นให้ออกไปอย่างเด็ดขาด

 สร้างความสงบในตะวันออกกลางและยุโรป (ดูข้างล่างเพิ่มเติม)โดยทรัมพ์จะผงาดขึ้นมาแสดงบารมีและพลังการเป็นผู้นำโลก และเมื่อโลกสงบแล้ว สหรัฐก็จะใช้สรรพกำลังบีบจีนไม่ให้ซ่าเกินกว่าที่ผ่านมา และสู้กันแบบตรงไปตรงมาในทุกด้าน (การค้า การลงทุน เทคโนโลยี อวกาศ การฑูตระหว่างประเทศ และการทหาร ฯ)

ผลต่อระดับโลก:

ความแข็งแกร่งของกองทัพสหรัฐฯ เป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาสมดุลของโลก ถ้าสหรัฐฯ อ่อนแอลง อำนาจของจีน รัสเซีย และกลุ่มก่อการร้ายจะขยายตัว สร้างความไร้เสถียรภาพไปทั่วภูมิภาค


3. นโยบายต่อต้านจีน: สกัดกั้นการขยายอิทธิพลของจีน

ทรัมป์ใช้สงครามการค้ากับจีนเพื่อลดการพึ่งพาการผลิตจากจีน กำหนดภาษีศุลกากรเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมอเมริกัน

ผลักดันนโยบายจำกัดบริษัทจีน เช่น Huawei ไม่ให้เข้าถึงเทคโนโลยีที่สำคัญของสหรัฐฯ และการยึด TikTok ให้อยู่ในการควบคุมของสหรัฐอเมริกา

สร้างกลุ่มพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ เช่น QUAD (สหรัฐฯ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อินเดีย) เพื่อถ่วงดุลอิทธิพลของจีนในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก

ผลต่อระดับโลก:

จีนพยายามขยายอิทธิพลไปทั่วโลกผ่านโครงการ “Belt and Road Initiative” และการเข้าควบคุมเทคโนโลยีที่สำคัญ หากไม่มีมาตรการของทรัมป์ จีนจะมีเสรีภาพในการครองเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของโลกโดยไร้คู่แข่ง


4. นโยบายต่ออิหร่านและตะวันออกกลาง: ลดภัยคุกคามจากรัฐผู้สนับสนุนการก่อการร้าย

ถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน (JCPOA) ที่ให้สิทธิ์อิหร่านฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยไม่มีมาตรการป้องกันที่เพียงพอ

ใช้มาตรการคว่ำบาตรที่รุนแรงที่สุดต่ออิหร่าน ทำให้เศรษฐกิจอิหร่านอ่อนแอ ลดงบประมาณที่สามารถนำไปสนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายในตะวันออกกลาง

เป็นนายหน้าข้อตกลงสันติภาพระหว่างอิสราเอลและกลุ่มประเทศอาหรับ (Abraham Accords) ลดความขัดแย้งในตะวันออกกลาง

ผลต่อระดับโลก:

ลดภัยคุกคามจากอิหร่าน และช่วยลดความตึงเครียดระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มประเทศอาหรับ ถ้าสหรัฐฯ ไม่เข้าไปแทรกแซง ภูมิภาคตะวันออกกลางจะเกิดความไม่สงบและอาจนำไปสู่สงครามขนาดใหญ่


5. การฟื้นฟูอำนาจของสหรัฐฯ ผ่านนโยบายการทูตและพันธมิตรใหม่

ทรัมป์สร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับอินเดีย ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย เพื่อสร้างสมดุลทางอำนาจกับจีน

ใช้การทูตในแบบ “ข่มขู่และต่อรอง” กับเกาหลีเหนือ ซึ่งแม้ไม่ได้ยุติภัยคุกคามทั้งหมด แต่ก็ทำให้เกาหลีเหนือชะลอการทดสอบขีปนาวุธ

ทบทวนความสัมพันธ์กับองค์กรระหว่างประเทศ เช่น WHO และ UN ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีอิทธิพลของจีนมากเกินไป

 การยึดกุมและควบคุมความเป็นไปรอบบ้าน โดยเฉพาะในอเมริกาใต้ทั้งหมด และการจ้องวางฐานอำนาจในกรีนแลนด์ ปานามา และแคนาดา 

ผลต่อระดับโลก:

สร้างระบบพันธมิตรที่เข้มแข็งขึ้น ลดการพึ่งพาองค์กรที่ถูกควบคุมโดยมหาอำนาจฝ่ายตรงข้าม


ข้อโต้แย้งและคำตอบต่อผู้ที่มีอคติต่อทรัมป์

1. “ทรัมป์ทำให้โลกวุ่นวาย” → ในความเป็นจริง ทรัมป์ใช้แนวทาง Realpolitik ที่ยอมรับว่าการรักษาอำนาจของสหรัฐฯ เป็นสิ่งจำเป็นต่อเสถียรภาพของโลก ถ้าสหรัฐฯ อ่อนแอ จีน รัสเซีย และอิหร่านจะขยายอำนาจแทน

2. “สงครามการค้าทำร้ายเศรษฐกิจโลก” → เป้าหมายของสงครามการค้าคือการลดการพึ่งพาจีน ซึ่งเป็นกลยุทธ์ระยะยาวที่จำเป็นต่อความมั่นคงของโลก

3. “ทรัมป์เป็นผู้นำที่แตกแยกและก้าวร้าว” → ทรัมป์ใช้แนวทาง “กำปั้นเหล็กในถุงมือกำมะหยี่” เพื่อรักษาผลประโยชน์ของสหรัฐฯ และแสดงให้เห็นว่าอเมริกาจะไม่ยอมอ่อนข้อให้ฝ่ายตรงข้าม

4. “ถอนตัวจากข้อตกลงระหว่างประเทศทำให้สหรัฐฯ สูญเสียอิทธิพล” → จริงๆ แล้ว นโยบายเหล่านี้ทำให้สหรัฐฯ ไม่ต้องตกอยู่ในข้อตกลงที่เสียเปรียบและสามารถกำหนดเงื่อนไขใหม่ได้


บทสรุปจากการวิเคราะห์ข้างต้นนี้ คือภาพสะท้อนแนวคิดของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่มองว่าถ้าสหรัฐฯ อ่อนแอ โลกจะเข้าสู่ความไร้เสถียรภาพและเป็นอันตรายต่อสากลโลก

นโยบายของทรัมป์มีเป้าหมายหลักเพื่อรักษาอำนาจของสหรัฐฯ และสร้างโลกที่มั่นคงขึ้น ถ้าสหรัฐฯ อ่อนแอและสูญเสียอิทธิพล จีน รัสเซีย และรัฐเผด็จการจะเข้ามาแทนที่ และโลกจะเผชิญกับความขัดแย้งและความไม่แน่นอนมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เสี่ยงต่อการเกิดสงครามทำลายล้างและการล่มสลายของมนุษยชาติ




No comments:

Post a Comment

Note: Only a member of this blog may post a comment.