ยินดีต้อนรับ

พลเมืองที่รอบรู้เท่าทัน คือ พลังประชาธิปไตยที่แท้จริง
Well-informed citizens are the true democratic forces.

Sunday, January 12, 2025

คันฉ่องส่องไทย คณะราษฎรเสรีไทย บทที่ 1 บทเรียนจากการรัฐประหาร

บทเรียนจากการรัฐประหาร

บทเรียนจากการรัฐประหาร

ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการรัฐประหารมากที่สุดในโลก นับตั้งแต่ปี 2475 ซึ่งเป็นปีที่เปลี่ยนผ่านจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่ระบอบประชาธิปไตย ประเทศไทยมีการรัฐประหารสำเร็จถึง 13 ครั้ง และความพยายามรัฐประหารอีกหลายครั้งที่ล้มเหลว การรัฐประหารเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองชั่วคราว แต่ยังสะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังลึกในระบบการเมืองไทย โดยเฉพาะความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างชนชั้นปกครอง ทหาร และกลุ่มผลประโยชน์อนุรักษ์นิยมที่ต้องการรักษาสถานะเดิมของตนเอง

ข้ออ้างซ้ำซากและความเป็นจริงที่ตรงข้าม

ข้ออ้างของการรัฐประหารในประเทศไทยมักมีรูปแบบคล้ายคลึงกันทุกครั้ง เช่น การอ้างว่าเพื่อปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ หรือเพื่อแก้ไขความขัดแย้งและฟื้นฟูเสถียรภาพทางการเมือง บ่อยครั้งยังกล่าวถึงการกำจัดการคอร์รัปชันและสร้างความโปร่งใสให้แก่ประเทศ อย่างไรก็ตาม ความจริงกลับแสดงให้เห็นว่า การรัฐประหารไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้อย่างแท้จริง ตรงกันข้าม กลับเพิ่มความซับซ้อนของปัญหาที่มีอยู่ และลดทอนโอกาสของการพัฒนาประชาธิปไตยที่ยั่งยืน

ตัวอย่างเช่น การรัฐประหารในปี 2549 ที่อ้างว่าเพื่อล้มล้างรัฐบาลที่คอร์รัปชัน แต่ภายหลังกลับไม่มีการดำเนินคดีที่ชัดเจนต่อผู้ถูกกล่าวหา การเลือกตั้งภายหลังการรัฐประหารยังนำไปสู่การกลับมาของรัฐบาลที่มีฐานเสียงเดิม

ผลกระทบที่ร้ายแรงต่อประชาธิปไตย

การรัฐประหารในทุกครั้งทำลายโครงสร้างประชาธิปไตยของประเทศอย่างรุนแรง สิ่งแรกที่เกิดขึ้นคือการยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน และการแทนที่ด้วยรัฐธรรมนูญชั่วคราวที่ให้อำนาจสูงสุดแก่กลุ่มผู้ทำรัฐประหาร นอกจากนี้ กลไกประชาธิปไตยที่สำคัญ เช่น สภาผู้แทนราษฎร และการตรวจสอบอำนาจของรัฐบาล ถูกลดบทบาทลง หรือแม้กระทั่งยกเลิกไปในบางกรณี

ผลกระทบระยะยาวที่ตามมาคือการทำลายความเชื่อมั่นในกระบวนการเลือกตั้ง ประชาชนจำนวนมากเริ่มมองว่าการเลือกตั้งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงประเทศได้ ขณะเดียวกัน การที่อำนาจรัฐถูกรวมศูนย์อยู่ในกลุ่มชนชั้นนำที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งทำให้ขาดการคานอำนาจและเปิดช่องให้เกิดการทุจริตเชิงโครงสร้าง

ผู้ได้ประโยชน์จากการรัฐประหาร

แม้การรัฐประหารจะอ้างว่ากระทำเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน แต่กลุ่มที่ได้ประโยชน์จริงกลับเป็นชนชั้นนำที่ต้องการรักษาอำนาจของตนเอง การเพิ่มบทบาทของกองทัพในกระบวนการปกครองทำให้กองทัพได้รับงบประมาณมหาศาล และขยายอิทธิพลทางการเมืองในระยะยาว นอกจากนี้ เครือข่ายธุรกิจที่ใกล้ชิดกับกลุ่มอำนาจมักได้รับผลประโยชน์จากโครงการขนาดใหญ่หรือการประมูลที่ขาดความโปร่งใส ในขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ยังคงเผชิญกับความเหลื่อมล้ำและการขาดโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิต

ประชาชนคือคำตอบของประชาธิปไตยที่แท้จริง

บทเรียนสำคัญที่ได้จากการรัฐประหารในประเทศไทยคือ การรัฐประหารไม่เคยเป็นคำตอบของปัญหาประเทศ แต่กลับทำให้ปัญหาเชิงโครงสร้างและความขัดแย้งในสังคมทวีความรุนแรงขึ้น การสร้างประชาธิปไตยที่มั่นคงและยั่งยืนต้องเริ่มต้นจากประชาชนที่ตระหนักถึงบทบาทของตนเองในกระบวนการทางการเมือง

ประชาชนต้องมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในทุกระดับ ตั้งแต่การเลือกตั้ง การตรวจสอบการใช้อำนาจ ไปจนถึงการสร้างวัฒนธรรมการเมืองที่โปร่งใสและยุติธรรม การสนับสนุนองค์กรอิสระและการผลักดันให้เกิดการปฏิรูปกฎหมายที่ขัดขวางสิทธิเสรีภาพ เช่น มาตรา 112 เป็นก้าวสำคัญในการสร้างอนาคตที่ดีกว่า

สรุป: วงจรอุบาทว์ต้องยุติ

วงจรการรัฐประหารในประเทศไทยสะท้อนถึงปัญหาที่ลึกซึ้งในระบบการเมือง การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อประชาชนลุกขึ้นมารักษาสิทธิและปกป้องระบอบประชาธิปไตยของตนเอง การสร้างระบบที่โปร่งใส ยุติธรรม และเปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียมคือคำตอบที่แท้จริงสำหรับอนาคตของประเทศ

No comments:

Post a Comment

Note: Only a member of this blog may post a comment.