ยินดีต้อนรับ

พลเมืองที่รอบรู้เท่าทัน คือ พลังประชาธิปไตยที่แท้จริง
Well-informed citizens are the true democratic forces.

Monday, October 21, 2024

ตื่นเถิดประชาชนผู้หลับใหล

ดร. เพียงดิน รักไทย


ชนชั้นปกครองที่เป็นทรราชมีวิธีการอันชาญฉลาดและแยบยลในการวางแผนเพื่อควบคุมและทำให้ประชาชนขาดความตื่นรู้ต่อสิทธิและเสรีภาพของตนเอง พวกเขาไม่เพียงแต่สร้างสภาพแวดล้อมที่ประชาชนถูกขังอยู่ในความไม่รู้เท่านั้น แต่ยังรักษาสถานการณ์นี้เอาไว้เพื่อประโยชน์ของตนเอง ผ่านการใช้เครื่องมือหลากหลายที่ออกแบบมาเพื่อให้ประชาชนไม่ตั้งคำถาม ยอมรับอำนาจอย่างไร้การวิพากษ์ และอยู่ใต้อิทธิพลของความกลัว การแตกแยก และการควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จ

วิธีที่ชนชั้นปกครองทรราชใช้เพื่อยึดครองอำนาจมีหลากหลายรูปแบบ ทั้งการบังคับควบคุมเชิงกฎหมาย การสร้างอุดมการณ์ที่บิดเบือน การบ่มเพาะความกลัวและความแตกแยกในสังคม หรือแม้กระทั่งการปิดกั้นการเข้าถึงความรู้และข้อมูลที่แท้จริง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นกลยุทธ์ที่ออกแบบมาเพื่อทำให้ประชาชนไม่กล้าตั้งคำถาม ไม่ลุกขึ้นมาท้าทายอำนาจ และดำรงอยู่ในสถานะผู้ถูกครอบงำอย่างสมบูรณ์

1. การสร้างความกลัว: รัฐทรราชจะใช้กฎหมายที่รุนแรงหรือกลไกปราบปรามที่เป็นภัยคุกคามต่อชีวิตและสิทธิเสรีภาพของประชาชน การข่มขู่ด้วยการจำคุก การข่มเหง การจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ทำให้ประชาชนต้องเงียบงันและยอมจำนน

2. การสร้างความแตกแยก: ปลูกฝังความแตกแยกในด้านเชื้อชาติ ศาสนา ชนชั้น หรืออุดมการณ์ทางการเมืองเพื่อให้ประชาชนหันมาต่อสู้กันเอง แทนที่จะร่วมมือกันท้าทายอำนาจทรราช การกระทำเช่นนี้ทำให้พลังของสังคมถูกทำลายและกีดขวางความสามัคคีในการต่อสู้เพื่อสิทธิของตนเอง

3. การทำให้สับสน: การสร้างอุดมการณ์ที่ขัดแย้งกัน หรือการเปลี่ยนแปลงนโยบายและแนวคิดตามแต่สถานการณ์เพื่อประโยชน์ของชนชั้นปกครอง ทำให้ประชาชนขาดทิศทาง และไม่สามารถรู้ได้ว่าอะไรคือความถูกต้องหรือความเป็นธรรม

4. การสร้างระบบอุปถัมภ์: ระบบเศรษฐกิจและสังคมที่ประชาชนต้องพึ่งพาอำนาจรัฐเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในการทำให้ประชาชนตกอยู่ในสภาพยอมจำนน พวกเขาไม่มีทางเลือกที่จะเติบโตหรือมีอิสระได้ เพราะอำนาจรัฐครอบงำทุกมิติของชีวิต

5. การควบคุมการศึกษา: รัฐทรราชมักควบคุมการศึกษาให้สอนในลักษณะที่ปิดกั้นการคิดอย่างเป็นอิสระ เน้นการยอมรับอุดมการณ์ที่ชนชั้นปกครองส่งเสริม และทำให้การวิพากษ์วิจารณ์ถูกมองว่าเป็นภัยต่อสังคม

6. การสร้างความเฉื่อยชาและการเพิกเฉยทางการเมือง: ชนชั้นปกครองสร้างสภาพแวดล้อมที่ประชาชนรู้สึกว่าตนไม่มีพลังและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทำให้เกิดการเพิกเฉยทางการเมืองอย่างแพร่หลาย ประชาชนจึงไม่สนใจที่จะมีส่วนร่วมในกระบวนการประชาธิปไตย

7. การควบคุมเศรษฐกิจ: ระบบเศรษฐกิจที่ปิดโอกาสให้ประชาชนแข่งขันอย่างเสรี ถูกออกแบบให้ชนชั้นปกครองสามารถผูกขาดความมั่งคั่งและทรัพยากรได้ ประชาชนจึงต้องพึ่งพารัฐในทุกด้าน ทำให้ไม่สามารถหลุดพ้นจากความยากจนหรือกดขี่ทางเศรษฐกิจได้

8. การบิดเบือนประวัติศาสตร์: ชนชั้นปกครองปรับแต่งประวัติศาสตร์เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของตนเอง ปิดบังความล้มเหลวหรือการกระทำที่ผิดพลาด ส่งผลให้ประชาชนขาดความเข้าใจที่ถูกต้องในอดีต และไม่สามารถตระหนักถึงสิทธิที่ตนควรจะมี

9. การควบคุมข้อมูลข่าวสาร: ข้อมูลที่บิดเบือนหรือข่าวสารที่ถูกปิดกั้นทำให้ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงความจริง และเชื่อในสิ่งที่ชนชั้นปกครองต้องการให้เชื่อได้อย่างง่ายดาย

10. การใช้เทคโนโลยีและสื่อสมัยใหม่เพื่อควบคุมจิตใจ: ด้วยการใช้โซเชียลมีเดียและเครื่องมือสื่อสารสมัยใหม่ รัฐทรราชสามารถควบคุมการไหลเวียนของข้อมูล ปลูกฝังความเชื่อผิดๆ และบิดเบือนความจริงในลักษณะที่ซับซ้อนและยากที่จะตรวจสอบได้

ตื่นเถิดชาวไทย จงรวมพลังกันตื่นรู้และลุกขึ้นท้าทายชนชั้นทรราชที่ครอบงำทั้งความคิด จิตวิญญาณ และเสรีภาพของพวกท่าน เราทุกคนต้องไม่ยอมตกเป็นเหยื่อของความกลัวและการครอบงำ จงเรียนรู้สิทธิของตนเอง รวมพลังเพื่อความเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง ท้าทายอำนาจเถื่อนและปลดปล่อยประเทศให้เป็นของประชาชนอย่างแท้จริง

Saturday, October 19, 2024

ส่วยในสังคมไทย: ฝังรากลึกอย่างยาวนาน


ธุรกิจที่ถูกกฎหมายเป็นส่วนใหญ่ แต่มีการส่งส่วยไปยังบุคคลที่มีอิทธิพลหรือราชสำนักเพื่อได้รับประโยชน์ทางเศรษฐกิจและอำนาจนั้น มักเกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจที่ต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากผู้มีอำนาจในการได้มาซึ่งทรัพยากร, การผูกขาด, หรือการหลีกเลี่ยงกฎหมายในบางประการ แม้ธุรกิจเหล่านี้จะดำเนินการถูกกฎหมายเป็นหลัก แต่การส่งส่วยมักเกิดขึ้นเพื่อเสริมสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและการเข้าถึงทรัพยากรสำคัญต่าง ๆ

ตัวอย่างการส่งส่วยในธุรกิจถูกกฎหมายส่วนใหญ่
1. ธุรกิจสัมปทานและโครงสร้างพื้นฐาน

บริษัทที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สร้างทางด่วน, สะพาน, หรือโครงการสาธารณะต่าง ๆ มักต้องประมูลหรือได้รับสัมปทานจากรัฐ การได้รับสัมปทานเหล่านี้มีการแข่งขันสูงและบางครั้งมีการใช้เส้นสายในการประสานงานกับผู้มีอิทธิพลทางการเมืองหรือราชสำนัก การส่งส่วยหรือของขวัญล้ำค่าให้กับผู้มีอำนาจจึงอาจเป็นหนึ่งในวิธีที่ใช้ในการรับประกันว่าธุรกิจจะได้รับสัญญาโครงการ

2. ธุรกิจผูกขาดหรือผูกสิทธิพิเศษในอุตสาหกรรม

บริษัทที่ได้รับสิทธิพิเศษในการประกอบธุรกิจ เช่น การค้าขายสุรา การทำเหมืองแร่ หรือการจัดการพลังงานไฟฟ้า มักจะต้องพึ่งพาความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจ โดยเฉพาะในกรณีที่มีการควบคุมทรัพยากรที่รัฐเป็นเจ้าของ การส่งส่วยหรือจ่ายเงินให้กับบุคคลในตำแหน่งสูงที่เกี่ยวข้องกับการอนุมัติหรือออกใบอนุญาตในการทำธุรกิจเหล่านี้เป็นวิธีหนึ่งที่บริษัทอาจใช้เพื่อรักษาสถานะหรือสิทธิ์ในการดำเนินธุรกิจต่อไป

3. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการพัฒนาเมือง

การพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ เช่น การสร้างหมู่บ้าน คอนโดมิเนียม หรือโครงการจัดสรรที่ดิน มักต้องมีการได้รับอนุญาตจากหน่วยงานต่าง ๆ ในท้องถิ่นและส่วนกลาง การได้รับที่ดินในทำเลดีและผ่านการอนุมัติจากหน่วยงานรัฐอาจทำได้ง่ายขึ้นหากมีการส่งส่วยหรือให้ผลประโยชน์กับผู้มีอิทธิพลหรือราชสำนักที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการตัดสินใจเรื่องเหล่านี้

4. ธุรกิจสื่อสารและโทรคมนาคม

ในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมและการสื่อสาร ธุรกิจใหญ่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประมูลคลื่นความถี่หรือสัมปทานเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ มักมีการแข่งขันกันสูง การได้สิทธิ์ในการประมูลเหล่านี้อาจมีการใช้เส้นสายทางการเมือง หรือการให้ผลประโยชน์ส่วนตัวแก่บุคคลที่มีอำนาจในการอนุมัติและควบคุมคลื่นความถี่

5. ธุรกิจสื่อและบันเทิง

ธุรกิจสื่อมวลชนที่ต้องอาศัยการสนับสนุนจากรัฐบาลหรือผู้มีอำนาจ เช่น การอนุญาตให้ถ่ายทอดสดช่องทีวีหรือสื่อวิทยุ อาจมีการส่งส่วยหรือสนับสนุนทางการเงินให้กับผู้มีอำนาจเพื่อให้ได้รับใบอนุญาตหรือโอกาสในการทำธุรกิจ

ตัวอย่างการส่งส่วยจากธุรกิจถูกกฎหมาย
• การประมูลโครงการพัฒนาทางด่วนในกรุงเทพฯ
บริษัทเอกชนที่ได้รับสัญญาจากรัฐบาลมักจะต้องจ่ายเงินส่วนหนึ่งให้กับข้าราชการระดับสูงหรือบุคคลที่มีอำนาจ ซึ่งบางครั้งอาจเป็นผู้ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับราชสำนัก เพื่อให้มั่นใจว่าการประมูลจะไม่ถูกรบกวนหรือแข่งขันจากคู่แข่ง

• การอนุมัติโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์บางรายต้องจ่ายเงินหรือมอบของขวัญให้กับเจ้าหน้าที่ในระดับท้องถิ่นหรือระดับสูงที่มีบทบาทในการอนุมัติแผนผังเมืองหรือการจัดสรรที่ดิน เพื่อให้โครงการของตนได้รับอนุมัติเร็วขึ้น

• การได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการสื่อสารโทรคมนาคม
บริษัทโทรคมนาคมอาจต้องจ่ายเงินให้กับผู้มีอำนาจที่ใกล้ชิดกับหน่วยงานของรัฐหรือราชสำนัก เพื่อให้แน่ใจว่าจะได้สิทธิ์ในการใช้คลื่นความถี่หรือขยายธุรกิจไปในพื้นที่ที่มีการแข่งขันสูง
แม้ธุรกิจเหล่านี้จะดำเนินการตามกฎหมายเป็นส่วนใหญ่ แต่การส่งส่วยให้กับบุคคลในอำนาจหรือราชสำนักเป็นวิธีหนึ่งในการเสริมสร้างความได้เปรียบทางการค้า

การบูชาเงินตราและไอดอลจอมปลอม: วิกฤตศีลธรรมในสังคมไทย



ในปัจจุบันสังคมไทยได้เข้าสู่ยุคแห่งการบูชาเงินตราและไอดอลจอมปลอม โดยสิ่งที่มักถูกใช้ในการตัดสินคุณค่าของคนไม่ใช่คุณธรรม ความเมตตา หรือความดีงามอีกต่อไป แต่กลับเป็นความร่ำรวย ความสำเร็จทางวัตถุ ความสวยงาม และสถานะทางสังคมที่แสดงออกผ่านรถหรู บ้านหลังใหญ่ การแต่งตัวหรูหรา และการมีคนรับใช้มากมาย สิ่งเหล่านี้กลายเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จในสายตาของสังคมไทย และนำไปสู่การหลงทางในเรื่องคุณค่าของมนุษย์


การบูชาเงินตรา: เงินกลายเป็นพระเจ้า


เมื่อเงินตราถูกยกย่องเป็นสิ่งสูงสุด คนที่มีเงินมากจึงกลายเป็นที่เคารพบูชาในสังคม คนรวยถูกมองเป็น “เทวดา” และได้รับความเคารพนับถือไม่ใช่เพราะจิตใจที่งดงามหรือความเสียสละเพื่อส่วนรวม แต่เพียงเพราะความสามารถในการครอบครองทรัพย์สิน สิ่งนี้สร้างค่านิยมที่ผิดพลาดในสังคม ทำให้คนไทยจำนวนมากเชื่อว่าการมีชีวิตที่ดีหมายถึงการสะสมทรัพย์สิน และส่งเสริมความคิดที่ว่าใครมีมากกว่าคนนั้นย่อมดีกว่า ทำให้คุณค่าทางจิตใจและศีลธรรมถูกละเลย


ไอดอลจอมปลอม: ความงามเปลือกนอกและภาพลวงตา


การสร้างภาพลวงตาของความสมบูรณ์แบบทางกายและวัตถุกลายเป็นวัฒนธรรมใหม่ ไอดอลที่ได้รับความนิยมในสังคมปัจจุบันไม่ใช่บุคคลที่สร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคมหรือทำประโยชน์เพื่อผู้อื่น แต่เป็นผู้ที่สร้างภาพผ่านสื่อสังคมออนไลน์ด้วยชีวิตที่ดูสมบูรณ์แบบ พวกเขามักจะใช้ชีวิตหรูหรา แสดงให้เห็นว่าตนเองเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ โดยไม่สนใจว่าความสำเร็จนั้นเกิดจากความพยายามหรือความสามารถที่แท้จริงหรือไม่ คนไทยจำนวนมากจึงหลงผิดในการยกย่องคนเหล่านี้เป็นไอดอล โดยมองเพียงสิ่งที่ปรากฏทางสื่อ มากกว่าที่จะสนใจในความดีงามภายในของบุคคล


ผลกระทบต่อสังคม: การเสื่อมทรามทางศีลธรรม


การบูชาเงินตราและไอดอลจอมปลอมได้สร้างผลกระทบร้ายแรงต่อสังคมไทย หนึ่งในนั้นคือการเสื่อมทรามทางศีลธรรม คนในสังคมถูกสอนให้เชื่อว่าเงินคือคำตอบของทุกสิ่ง ทำให้เกิดความโลภ การแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม และการละเลยความทุกข์ของผู้อื่น สังคมเริ่มขาดความเมตตาและการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การมองคนเพียงที่เปลือกนอกทำให้เราพลาดโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมายและยั่งยืน การละเลยความดีงามภายในทำให้สังคมตกเป็นเหยื่อของความเห็นแก่ตัวและความโหดร้าย


จงคืนคุณค่าให้กับความดีงาม


ถึงเวลาแล้วที่สังคมไทยต้องหันกลับมาทบทวนถึงคุณค่าที่แท้จริงในชีวิต เราต้องตระหนักว่าความร่ำรวยและความสำเร็จทางวัตถุไม่ใช่สิ่งที่ควรใช้ในการตัดสินคุณค่าของคน มนุษย์ควรได้รับการยกย่องในความดี ความมีน้ำใจ และการทำประโยชน์เพื่อส่วนรวมมากกว่าการสะสมทรัพย์สิน ควรจะมีการส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่เรียนรู้ที่จะเคารพผู้อื่นไม่ใช่จากสิ่งที่เขามี แต่จากสิ่งที่เขาเป็น และจากสิ่งที่เขาสามารถมอบให้แก่สังคม



ทุกวันนี้ เราจะเห็นได้ว่าการบูชาเงินตราและไอดอลจอมปลอมเป็นภัยคุกคามต่อศีลธรรมและความดีงามของสังคมไทย หากเราต้องการให้สังคมก้าวไปข้างหน้าอย่างมีความหมายและยั่งยืน เราจำเป็นต้องกลับมามองและให้ความสำคัญกับคุณค่าทางจิตใจ ความเมตตา และการเสียสละเพื่อผู้อื่น การสร้างสังคมที่มีความยุติธรรมและเอื้ออาทรจะทำให้เราเป็นคนที่มีความสุขและเป็นที่นับถืออย่างแท้จริง