ยินดีต้อนรับ

พลเมืองที่รอบรู้เท่าทัน คือ พลังประชาธิปไตยที่แท้จริง
Well-informed citizens are the true democratic forces.

Monday, July 18, 2016

การทุบวัดป่าของพุทธ มีจริงหรือ?



พระอาจารย์สมฤทธิ์ รัตนญาโณ (ธรรมกะ  บุญญพลัง)
 ทุบวัด  

เรื่องที่เกิดขึ้นจริงโดย นายกรณ์ มีดี เลขาธิการสมาพันธ์ชาวพุทธแห่งประเทศไทย
นายกสมาคมทางสายกลาง
ยุทธการนี้เกิดขึ้นจริง 
ครั้งแรก การไล่พระป่าผมเจอมาด้วยตนเอง เมื่อสองปีที่ผ่าน ผมได้ไปปฏิบัติธรรมกับพระอาจารย์ธรรมกะ ซึ่งตั้งอยู่ที่ริมเขื่อนศรีนครินทร์ อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี ตอนไปก็ดั้นด้นไปมาก กว่าจะไปถึง ต้องขับรถไปไกล และนั่งแพขนานยนต์ และพระอาจารย์เมตตาขับเรือมารับ เมื่อได้รู้จักไม่นาน
 

ก็ทราบข่าวว่าตอนนี้ท่านกำลังโดนเจ้าหน้าที่ป่าไม้ไล่ให้ออกจากป่า โดยบอกว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตอุทยาน ท่านก็บอกว่า พื้นที่นี้ซื้อต่อมาตั้งนานแล้ว และอยู่มาก่อนที่จะประกาศให้พื้นที่นี้เป็นเขตอุทยานเสียอีก
แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่ฟัง วันดีคืนดี ก็มาพร้อมอาวุธครบมือ แต่เนื่องจาก ท่านเองก็มีลูกศิษย์ลูกหาเป็นผู้ใหญ่พอสมควร จึงยังสามารถยันเอาไว้ไม่ให้เขาทุบได้ และก็ต้องยอมเปลี่ยนเป็นพุทธอุทยาน เพื่อรักษาสถานที่เอาไว้ไม่ให้เจ้าหน้าที่มาทุบทำลาย
แต่ท่านก็บอกว่า การเป็นพุทธสถานนั้น เหมือนจะดี แต่เมื่อลงนามไปแล้ว มันก็มีข้อเสีย คือ จะก่อสร้างอะไรต้องได้รับคำยินยอมจากเจ้าหน้าที่ป่าไม้ หรือเขาจะขอคืนพื้นที่เมื่อไหร่ก็ได้
แต่หากไม่ยอมเป็น เขาก็ทุบทิ้งทันที พวกนี้มากันอาวุธครบมือ ทั้งที่พระอาจารย์ เป็นพระนักปฏิบัติ และอยู่เพียงองค์เดียว ที่สำคัญ ท่านพยายามปลูกป่าแถวนั้น และนำสัตว์ป่ามาเลี้ยงและปล่อยให้อยู่ตามธรรมชาติ
ผมได้รับทราบข้อมูลตอนนั้นว่า เขามีแผนที่จะไล่ ทุบ ทำลาย วัดทุกวัดที่อยู่ในเขตอุทยานทั่วประเทศ ที่มีอยู่ประมาณ 6,000 กว่าแห่ง
ผมเกิดอาการตกใจ ตั้งแต่ตอนนั้น เพราะวัดที่เขาตั้งเป้าทุบ คือวัดป่าทั้งสิ้น ส่วนใหญ่เป็นพระนักปฏิบัติ
เป็นกำลังสำคัญของพระพุทธศาสนา แต่มันกำลังเกิดอะไรขึ้นหรือ เขาจะทุบวัดทิ้งทั้ง 6,000 กว่าวัด
หลังจากนั้นผมพยายามจะบอกพระต่างๆ ที่เป็นวัดป่า แต่ในขณะนั้น พระท่านไม่เชื่อผมเลย หาว่า ผมปฏิบัติธรรมมากไปแล้วเกิดอาการเพี้ยน
แต่หลังจากนั้นไม่นาน วัดหรือสำนักที่ผมเคยไปบอกท่าน ๆ ก็บอกว่า วัดท่านกำลังจะโดน วัดของเพื่อนท่านโดนไปบ้างแล้ว ที่สำคัญ ที่กล้าหาญ คือ ทุบวัดกัลยาณมิตร

VDO กดเล่นได้
อดีตอธิบดีท่านนี้ก็แปลก ขมักขะเม้นมากที่จะทุบวัดกัลยาณมิตรฯ ทั้งที่ท่านกำลังจะเกษียณ มีคนโพสต์ว่า ทุบวัดนี้แล้วบาปหนัก กรรมจะตามสนองอย่างรวดเร็ว อืมมมมมม กรรมตามสนองเร็วจัง สุดท้าย ผมเห็นนี้ ได้รับแต่งตั้งเป็น สปท. เข้าไปนั่งในสภาอันทรงเกียรติ นี่รึ คือ กรรมสนอง รึ รับรางวัล
และที่ทราบๆ มาก็มีวัดที่ถูกทุบไปแล้ว คือ วัดป่าแห่งหนึ่งที่บุรีรัมย์ วัดถ้ำชัยมงคล ของหลวงปู่วัง อันนี้ทุบศาลาบนยอดภูลังกา (วัดนี้สร้างตั้งแต่หลวงปู่วังก่อน ประกาศให้พื้นที่นี้เป็นเขตอุทยาน)
วัดป่าหลวงตามหาบัว (วัดเสือ)  วัดผาซ่อนแก้ว วัดถ้ำเนรมิต และสำนักปฏิบัติธรรมอีกมากมาย
ที่เขาพร้อมใจกัน ทุบวัดที่อยู่ในป่า ทั้งที่วัดเหล่านี้ ช่วยรักษาป่า แต่ภาครัฐ ก็ยืนยันจะใช้หลัก นิติศาสตร์ ไม่สนใจหลักรัฐศาสตร์ แต่ประการใด 
ถ้าปล่อยไปอะไรจะเกิดขึ้นครับ
1. วัดป่าหาย
2. วัดป่าหาย พร้อม พระนักปฏิบัติธรรมหาย
3. พระนักปฏิบัติธรรมหาย ญาติโยมก็หาย
4. ญาติโยมหาย ก็ไม่มีการปฏิบัติธรรมกรรมฐาน
5. เมื่อไม่มีการปฏิบัติธรรมกรรมฐาน ศาสนาพุทธก็ด้อยค่าลง
6. เมื่อศาสนาพุทธด้อยค่าลง ก็เริ่มหมดคนนับถือ
7. เมื่อหมดคนนับถือ ศาสนาอื่น ที่อาศัยช่องทางกฎหมาย ก็ประกาศความเป็นใหญ่
8. เมื่อศาสนาอื่นประกาศความเป็นใหญ่ ชาวพุทธก็หร่อยหรอ
9. เมื่อชาวพุทธหร่อยหรอลงเรื่อยๆ วัดหนึ่งพุทธก็สูญหายไปจากประเทศไทย
10. และพระพุทธศาสนาอันสมบัติที่ตกทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ที่ท่านสืบทอดต่อๆ มา อาจสูญสิ้นในยุคพวกเรา
น่าอายไหม ชาวพุทธ ถ้าเรายังเป็นชาวพุทธ ต้องมาตื่นรู้
นายกรณ์ มีดี เลขาธิการสมาพันธ์ชาวพุทธแห่งประเทศไทย นายกสมาคมทางสายกลาง
Cr.กองการคณะสงฆ์

การทุบวัดป่าของพุทธ มีจริงหรือ?



พระอาจารย์สมฤทธิ์ รัตนญาโณ (ธรรมกะ  บุญญพลัง)
 ทุบวัด  

เรื่องที่เกิดขึ้นจริงโดย นายกรณ์ มีดี เลขาธิการสมาพันธ์ชาวพุทธแห่งประเทศไทย
นายกสมาคมทางสายกลาง
ยุทธการนี้เกิดขึ้นจริง 
ครั้งแรก การไล่พระป่าผมเจอมาด้วยตนเอง เมื่อสองปีที่ผ่าน ผมได้ไปปฏิบัติธรรมกับพระอาจารย์ธรรมกะ ซึ่งตั้งอยู่ที่ริมเขื่อนศรีนครินทร์ อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี ตอนไปก็ดั้นด้นไปมาก กว่าจะไปถึง ต้องขับรถไปไกล และนั่งแพขนานยนต์ และพระอาจารย์เมตตาขับเรือมารับ เมื่อได้รู้จักไม่นาน
 

ก็ทราบข่าวว่าตอนนี้ท่านกำลังโดนเจ้าหน้าที่ป่าไม้ไล่ให้ออกจากป่า โดยบอกว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตอุทยาน ท่านก็บอกว่า พื้นที่นี้ซื้อต่อมาตั้งนานแล้ว และอยู่มาก่อนที่จะประกาศให้พื้นที่นี้เป็นเขตอุทยานเสียอีก
แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่ฟัง วันดีคืนดี ก็มาพร้อมอาวุธครบมือ แต่เนื่องจาก ท่านเองก็มีลูกศิษย์ลูกหาเป็นผู้ใหญ่พอสมควร จึงยังสามารถยันเอาไว้ไม่ให้เขาทุบได้ และก็ต้องยอมเปลี่ยนเป็นพุทธอุทยาน เพื่อรักษาสถานที่เอาไว้ไม่ให้เจ้าหน้าที่มาทุบทำลาย
แต่ท่านก็บอกว่า การเป็นพุทธสถานนั้น เหมือนจะดี แต่เมื่อลงนามไปแล้ว มันก็มีข้อเสีย คือ จะก่อสร้างอะไรต้องได้รับคำยินยอมจากเจ้าหน้าที่ป่าไม้ หรือเขาจะขอคืนพื้นที่เมื่อไหร่ก็ได้
แต่หากไม่ยอมเป็น เขาก็ทุบทิ้งทันที พวกนี้มากันอาวุธครบมือ ทั้งที่พระอาจารย์ เป็นพระนักปฏิบัติ และอยู่เพียงองค์เดียว ที่สำคัญ ท่านพยายามปลูกป่าแถวนั้น และนำสัตว์ป่ามาเลี้ยงและปล่อยให้อยู่ตามธรรมชาติ
ผมได้รับทราบข้อมูลตอนนั้นว่า เขามีแผนที่จะไล่ ทุบ ทำลาย วัดทุกวัดที่อยู่ในเขตอุทยานทั่วประเทศ ที่มีอยู่ประมาณ 6,000 กว่าแห่ง
ผมเกิดอาการตกใจ ตั้งแต่ตอนนั้น เพราะวัดที่เขาตั้งเป้าทุบ คือวัดป่าทั้งสิ้น ส่วนใหญ่เป็นพระนักปฏิบัติ
เป็นกำลังสำคัญของพระพุทธศาสนา แต่มันกำลังเกิดอะไรขึ้นหรือ เขาจะทุบวัดทิ้งทั้ง 6,000 กว่าวัด
หลังจากนั้นผมพยายามจะบอกพระต่างๆ ที่เป็นวัดป่า แต่ในขณะนั้น พระท่านไม่เชื่อผมเลย หาว่า ผมปฏิบัติธรรมมากไปแล้วเกิดอาการเพี้ยน
แต่หลังจากนั้นไม่นาน วัดหรือสำนักที่ผมเคยไปบอกท่าน ๆ ก็บอกว่า วัดท่านกำลังจะโดน วัดของเพื่อนท่านโดนไปบ้างแล้ว ที่สำคัญ ที่กล้าหาญ คือ ทุบวัดกัลยาณมิตร

VDO กดเล่นได้
อดีตอธิบดีท่านนี้ก็แปลก ขมักขะเม้นมากที่จะทุบวัดกัลยาณมิตรฯ ทั้งที่ท่านกำลังจะเกษียณ มีคนโพสต์ว่า ทุบวัดนี้แล้วบาปหนัก กรรมจะตามสนองอย่างรวดเร็ว อืมมมมมม กรรมตามสนองเร็วจัง สุดท้าย ผมเห็นนี้ ได้รับแต่งตั้งเป็น สปท. เข้าไปนั่งในสภาอันทรงเกียรติ นี่รึ คือ กรรมสนอง รึ รับรางวัล
และที่ทราบๆ มาก็มีวัดที่ถูกทุบไปแล้ว คือ วัดป่าแห่งหนึ่งที่บุรีรัมย์ วัดถ้ำชัยมงคล ของหลวงปู่วัง อันนี้ทุบศาลาบนยอดภูลังกา (วัดนี้สร้างตั้งแต่หลวงปู่วังก่อน ประกาศให้พื้นที่นี้เป็นเขตอุทยาน)
วัดป่าหลวงตามหาบัว (วัดเสือ)  วัดผาซ่อนแก้ว วัดถ้ำเนรมิต และสำนักปฏิบัติธรรมอีกมากมาย
ที่เขาพร้อมใจกัน ทุบวัดที่อยู่ในป่า ทั้งที่วัดเหล่านี้ ช่วยรักษาป่า แต่ภาครัฐ ก็ยืนยันจะใช้หลัก นิติศาสตร์ ไม่สนใจหลักรัฐศาสตร์ แต่ประการใด 
ถ้าปล่อยไปอะไรจะเกิดขึ้นครับ
1. วัดป่าหาย
2. วัดป่าหาย พร้อม พระนักปฏิบัติธรรมหาย
3. พระนักปฏิบัติธรรมหาย ญาติโยมก็หาย
4. ญาติโยมหาย ก็ไม่มีการปฏิบัติธรรมกรรมฐาน
5. เมื่อไม่มีการปฏิบัติธรรมกรรมฐาน ศาสนาพุทธก็ด้อยค่าลง
6. เมื่อศาสนาพุทธด้อยค่าลง ก็เริ่มหมดคนนับถือ
7. เมื่อหมดคนนับถือ ศาสนาอื่น ที่อาศัยช่องทางกฎหมาย ก็ประกาศความเป็นใหญ่
8. เมื่อศาสนาอื่นประกาศความเป็นใหญ่ ชาวพุทธก็หร่อยหรอ
9. เมื่อชาวพุทธหร่อยหรอลงเรื่อยๆ วัดหนึ่งพุทธก็สูญหายไปจากประเทศไทย
10. และพระพุทธศาสนาอันสมบัติที่ตกทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ที่ท่านสืบทอดต่อๆ มา อาจสูญสิ้นในยุคพวกเรา
น่าอายไหม ชาวพุทธ ถ้าเรายังเป็นชาวพุทธ ต้องมาตื่นรู้
นายกรณ์ มีดี เลขาธิการสมาพันธ์ชาวพุทธแห่งประเทศไทย นายกสมาคมทางสายกลาง
Cr.กองการคณะสงฆ์

ชีวิตในเมืองไทยภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน

หัวข้อ: ชีวิตในเมืองไทยภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน
(Life in Thailand - Under the Current Situation)
รายการ "เราเสนอ ท่านตัดสินใจ", 17 ก.ค. 2559
สถานีเสียงประชาชนไทย, Voice of Thailand (VOT), นครชิคาโก สหรัฐอเมริกา
วิทยากร: มีดี (แม่บ้านในประเทศไทย)
ผู้ดำเนินรายการ: สุกิจ ทรัพย์อเนกสันติ
กรุณากด "ติดตาม" (subscribe) สถานี YouTube ของเราด้วยครับ
ดาวน์โหลดไฟล์ mp3 ได้จาก http://bit.ly/29Oy7od  หรือ http://bit.ly/29NRBdW





ชีวิตในเมืองไทยภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน

หัวข้อ: ชีวิตในเมืองไทยภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน
(Life in Thailand - Under the Current Situation)
รายการ "เราเสนอ ท่านตัดสินใจ", 17 ก.ค. 2559
สถานีเสียงประชาชนไทย, Voice of Thailand (VOT), นครชิคาโก สหรัฐอเมริกา
วิทยากร: มีดี (แม่บ้านในประเทศไทย)
ผู้ดำเนินรายการ: สุกิจ ทรัพย์อเนกสันติ
กรุณากด "ติดตาม" (subscribe) สถานี YouTube ของเราด้วยครับ
ดาวน์โหลดไฟล์ mp3 ได้จาก http://bit.ly/29Oy7od  หรือ http://bit.ly/29NRBdW





ชำแหละรัฐธรรมนูญโจร ยกประเทศให้นายทุน!!!!

อำนาจที่เบ็ดเสร็จ ก่อเกิดฉ้อฉลที่เด็ดขาด

============

ศูนย์ข่าวภาคใต้ - ผู้ประสานงานเครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหิน โพสต์เฟซบุ๊กจวกอำนาจรัฐหลังรัฐธรรมนูญผ่าน ชี้เป็นไปตามแผนยึดประเทศใส่พานให้กลุ่มทุน ขณะเดียวกัน กลับลิดรอนสิทธิของประชาชน เชื่อเป็นรัฐธรรมนูญฉบับอภิมหาโคตรโกง แทนที่จะเอาจริงเรื่องปราบโกง

วันนี้ (13 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายประสิทธิชัย หนูนวล ผู้ประสานงานเครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหิน ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า "ชีวิตหลังรัฐธรรมนูญผ่าน ผมเชื่อว่าปัญหานี้ไม่อยู่ในหัวของคนไทยสักเท่าไหร่แต่สำหรับผมมันคือการเปลี่ยนกติกาประเทศที่สำคัญที่สุด เพื่อการมุ่งสู่เป้าหมายได้อย่างสบายใจของคนกลุ่มหนึ่งเคยอ่านรัฐธรรมนูญไหมครับ จะลงประชามติกันแล้ว 7 ส.ค.นี้

1.เป้าหมายของรัฐธรรมนูญฉบับนี้คือ การสร้างกติกาให้บรรลุยุทธศาสตร์ 20 ปีของประเทศ ยุทธศาสตร์นี้ยังไม่ออกมา แต่สำหรับผมมันคือยุทธศาสตร์ยึดประเทศ ด้วยกลไกของประชารัฐ ไม่เชื่อมาถล่มผมได้เลย รัฐบาลที่ได้มาในชุดหน้ามีหน้าที่ต้องผูกพันกับการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ดังกล่าวอันนี้เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญนะครับ ผูกมัดกันถึงขั้นนี้นะครับ

2.รัฐธรรมนูญฉบับนี้จัดการที่มาของผู้ถืออำนาจรัฐ หรือคนที่จะมาเป็นรัฐบาลแบบเบ็ดเสร็จ นั่นหมายความว่า ต่อให้มีพรรคการเมืองใดได้เสียงข้างมากก็ไม่อาจเป็นนายกรัฐมนตรีได้ เพราะนายกรัฐมนตรีจะต้องมาจากการลงมติของรัฐสภา ซึ่งหมายถึง ส.ว.250 ซึ่ง คสช.กุมการเลือกมาเอง ส.ส. 500 คน รวม 750 คน ต้องใช้เสียง 2 ใน 3 ของรัฐสภาโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี นึกภาพออกยังคับว่า ที่มาของนายกถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว ยังมีที่มาของการเสนอชื่อนายกที่บล็อกกันไว้อย่างดีตามอ่านดูนะครับ

3.เมื่อได้นายกฯ มาแล้วมีแนวโน้มสูงที่จะถูกควบคุมให้เป็นไปตามที่ต้องการ เพราะนายกฯ จะถูกเอาออกแบบง่ายๆ ด้วยการออกแบบศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นซูเปอร์องค์กร สามารถถอดถอนนายกฯ ด้วยมาตรฐานทางจริยธรรม ซึ่งมาตรฐานทางจริยธรรมมีคำถามว่าใครเขียน รัฐธรรมนูญฉบับนี้กำกับรัฐบาลอย่างเข้มงวด เพื่อประโยชน์อะไรนะเหรอ กลับไปอ่านข้อ 1 ครับ

4.นอกจากกำกับที่มา และการบริหารของนายกแล้ว สิ่งที่เป็นอุปสรรคอีกอย่างหนึ่งของการเดินตามยุทธศาสตร์ของกลุ่มประโยชน์ คือ การเติบโตของประชาชน เพราะฉะนั้นรัฐธรรมนูญฉบับนี้จึงจัดการสิทธิของประชาชน ให้ทุกอย่างเป็นหน้าที่ของรัฐ! โดยเฉพาะการจัดการทรัพยากร ก่อนหน้านี้จึงอย่าได้แปลกใจที่มีการใช้ ม.44 จัดการกับทรัพยากรของชาติเอื้อกลุ่มทุนอย่างมโหฬาร

5.รัฐธรรมนูญฉบับนี้ปราบโกงนะเหรอ ลองใช้สติพิจารณากันเองนะครับ กลไกที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ลิดรอนสิทธิเช่นนี้จะนำไปสู่การอภิมหาโคตรโกง หรือว่าจะนำไปสู่การปราบโกง 6.อ่านดีดีนะครับถ้าได้รัฐธรรมนูญมาแล้ว ว่ามันคือเกมแห่งการสืบทอดอำนาจ เพราะกลไกการยึดประเทศของกลุ่มทุน 2 ปี ของ คสช.ไม่เพียงพอ ต้องใช้เวลาอีก จึงไม่แปลกที่จะมีการสืบทอดอีกสัก 5 ปี

7.ชีวิตหลังรัฐธรรมนูญผ่านจะเป็นอย่างไรนะเหรอ มันบัดซบไงครับ แต่ไม่เป็นปัญหาสำหรับมนุษย์ที่สามารถเป็นครึ่งคนครึ่งหุ่นยนต์ได้ เพราะคุณจะถูกทำให้เป็นเพียงมนุษย์บนสายพานการผลิตเท่านั้นหลังจากนี้ไม่เกิน 4 ปี ค่อยมาขยายความกันต่อครับ

http://m.manager.co.th/Local/detail/9590000069616

แผนชั่ว คสช.​กับการโกงประชามติ (เครดิต Sa-nguan Khumrungroj)

Sa-nguan Khumrungroj
10 hrs · 

‪#‎อย่านึกว่าโลกนี้ไม่มีความลับนะจ๊ะ‬

เช้านี้ ผู้บริหารระดับสูงของทีวีช่องหนึ่งนำข่าวนี้มาฝาก

บอกว่าอีติ๋มแห่งกกต.ได้เรียกทีวีดิจีตอลทุกช่องมาประชุมกับเขา เกี่ยวกับวิธีรายงานผลคะแนนประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับมีชัย มา 2 รอบแล้ว
โดยอีติ๋มจะให้รายงานผลเป็น เปอร์เซนต์รายจังหวัดแทน
แล้วให้ถ่ายเอาจากที่กกต.ขึ้นจอโปรเจคเตอร์เท่านั้น(ลักษณะแบบทีวีพูลที่ดูจนเบื่อหลังเคารพธงชาติ)
อย่างนี้ ประชาชนถูกมัดมือชกแน่นอน

นี่คือลักษณะคะแนนที่จะรายงานหน้าจอ เพราะปกติจะเลือกตั้งหรือประชามติ คนดูต้องเห็นคะแนนที่นับเป็นเขต แล้วเขาจะเผยแพร่หลัง 6 โมงเย็นโน่นเลย

พวกไปประชุมเขาเถียงไม่ได้เพราะต้องพึ่งคะแนนจาก กกต.มารายงานข่าว แต่ถ้าแบบนี้มันส่อว่ามีอะไรแน่ๆ

เปอร์เซนต๋ไว้ดูทีหลัง ทำไมต้องไม่ให้เห็นคะแนนหลังปิดหีบ
แล้วดูแบบที่มันเลือกสิ สื่อสารยาก คำถามที่1 /ที่2
แทนที่จะเขียน รับ/ไม่รับร่างรธน หรือ คำถามพ่วงสว.เลือกนายกได้

เอาเงินภาษีไปละเลง เกือบ 3 พันล้าน 
แต่ผลงานห่วยแตก

ต้องมี เงี่ยนงำ แน่ๆ

‪#‎โตแล้วไม่โกง‬ ??

(สำนักข่าวหงวน จัดให้)

แอพแรกที่คุณเลือก เนติวิทย์ เปิดศึก ม.จ.จุลเจิม แชร์ข้อความ เป็นมะเร็งร้ายแห่งจุฬาฯ โดย http://hilight.kapook.com/view/139614




เนติวิทย์ เปิดศึก ม.จ.จุลเจิม แชร์ข้อความ เป็นมะเร็งร้ายแห่งจุฬาฯ

         เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล นิสิตคนดัง ออกแชร์โพสต์ของ ม.จ.จุลเจิม บุคล หลังมองว่าเป็นมะเร็งร้ายแห่งจุฬาฯ พร้อมเชิญชวนเพื่อนนิสิตที่คิดเห็นเหมือนกัน เข้าไปแสดงความคิดเห็น ให้เลิกการหมอบกราบ

         หลังจากที่ก่อนหน้านี้ เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล นิสิตคนดังแห่งคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้มีการโพสต์ข้อความ แสดงความไม่เห็นด้วยในเรื่องการหมอบกราบ พิธีถวายสัตย์เข้าเป็นนิสิตของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมกับตั้งคำถามว่าเหตุใดจึงยังคงมีการหมอบกราบ ทั้งที่รัชกาลที่ 5 ได้ยกเลิกธรรมเนียมดังกล่าวไปแล้ว (อ่านเพิ่มเติม เนติวิทย์ ถาม ทำไมยังมีการหมอบกราบถวายสัตย์เป็นนิสิต ทั้งที่ ร.5 ยกเลิกนานแล้ว)

        ล่าสุด (18 กรกฎาคม 2559) นายเนติวิทย์ ก็ได้ออกมาแชร์ข้อความของ ม.จ.จุลเจิม ยุคล ที่ได้โพสต์ภาพพระเกี้ยว สัญลักษณ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมกับท่อนหนึ่งจากเพลง มหาจุฬาลงกรณ์ ที่ร้องว่า "ขอตราพระเกี้ยวยั้งยืนยง นิสิตประสงค์เป็นธงชัย ถาวรยศอยู่คู่ไทย เชิดชัย ชโย" และแคปชั่นว่า 

เนติวิทย์ เปิดศึก ม.จ.จุลเจิม แชร์ข้อความ เป็นมะเร็งร้ายแห่งจุฬาฯ

         "ขอเป็นกำลังใจให้กับ ศิษย์ปัจจุบัน และศิษย์เก่าในการต่อสู้กับมะเร็งร้ายใน จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ความสง่างาม เกียรติยศ และศักดิ์ศรี ความสามารถ และคุณงามความดี ที่ค้ำจุนประเทศไทย มา 100 ปี คงไม่มีความสกปรกโสมมใด ๆ มาทำให้แปดเปื้อนได้....ม.จ. จุลเจิม ยุคล"


เนติวิทย์ เปิดศึก ม.จ.จุลเจิม แชร์ข้อความ เป็นมะเร็งร้ายแห่งจุฬาฯ

         ด้านเนติวิทย์ ได้แชร์ข้อความดังกล่าวออกไป และบอกว่า มะเร็งร้ายกันเลยทีเดียวนะครับ ไม่เป็นไร มันแล้วแต่มุมมอง แล้วแต่ภูมิคุ้มกันจริงๆ

         อย่างไรก็ดี ฝากถึงท่านชายยุกะลา ผมเขียนหนังสือเล่มใหม่ ถึงท่านไม่ชอบผม ซื้อไปลองอ่านสนับสนุนสักสิบเล่ม ก็ไม่น่าเสียหายอะไร ลิงค์นี้เลยครับ http://goo.gl/forms/3tC8Hjq6p73JA4Aj2)"

         นอกจากนี้ เนติวิทย์ ยังได้ออกมาโพสต์ข้อความ เชิญชวนเพื่อน ๆ นิสิตแสดงความคิดเห็น ต่อพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนเป็นนิสิต  และบอกให้ อบจ. หรือ องค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อบจ.) รับทราบถึงพระบรมราชโองการของรัชกาลที่ 5 เรื่องการหมอบคลาน

         ด้าน นายกิตติธัช ชัยประสิทธิ์ อาจารย์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยังได้ออกมาพูดเกี่ยวกับประเด็นนี้ว่า เป็นความจริงที่รัชกาลที่ 5 ทรงรับสั่งให้มีการยกเลิกการหมอบกราบ แต่ใช้สำหรับพิธีราชการ แต่ในแง่ของวัฒนธรรมยังคงทำได้ เช่น การกราบพ่อแม่ กราบพระ และในสังคมตะวันตก หรือกระทั่งสังคมญี่ปุ่น ก็ยังคงมีพิธีการแสดงความเคารพอยู่ เช่น ในสังคมญี่ปุ่น ก่อนที่จพทำการชงชานั้น จะมีการแสดงความเคารพต่อเครื่องชงชา หรือทุกครั้งที่เพลง Messiah ของ George Frideric Handel ถูกเล่นขึ้นในโรงละคร ชาวตะวันตกก็จะมีการลุกขึ้นเพื่อแสดงความเคารพ 

         "- แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่แสดงความเคารพด้วยใจ แต่พวกเขาก็รู้ว่ามันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของสังคม และตามมารยาททางสังคมเค้าก็พร้อมจะให้ความร่วมมือ ไม่มีใครมานั่งแสดงท่าทีต่อต้าน ยียวน แล้วก็ดูถูกคนอื่น หาว่าคนที่เข้าร่วมพิธีเป็นคนโง่ ทำตามกัน ไร้สมอง ฯลฯ"

เนติวิทย์ เปิดศึก ม.จ.จุลเจิม แชร์ข้อความ เป็นมะเร็งร้ายแห่งจุฬาฯ

เนติวิทย์ เปิดศึก ม.จ.จุลเจิม แชร์ข้อความ เป็นมะเร็งร้ายแห่งจุฬาฯ

เนติวิทย์ เปิดศึก ม.จ.จุลเจิม แชร์ข้อความ เป็นมะเร็งร้ายแห่งจุฬาฯ
เนติวิทย์ เปิดศึก ม.จ.จุลเจิม แชร์ข้อความ เป็นมะเร็งร้ายแห่งจุฬาฯ

เนติวิทย์ เปิดศึก ม.จ.จุลเจิม แชร์ข้อความ เป็นมะเร็งร้ายแห่งจุฬาฯ

เนติวิทย์ เปิดศึก ม.จ.จุลเจิม แชร์ข้อความ เป็นมะเร็งร้ายแห่งจุฬาฯ

เนติวิทย์ เปิดศึก ม.จ.จุลเจิม แชร์ข้อความ เป็นมะเร็งร้ายแห่งจุฬาฯ

THAILAND: End judicial harassment of pro-democracy activists and reporter

ASIAN HUMAN RIGHTS COMMISSION - URGENT APPEALS PROGRAMME

Urgent Appeal Case: AHRC-UAC-089-2016



18 July 2016

---------------------------------------------------------------------
THAILAND: End judicial harassment of pro-democracy activists and reporter

ISSUES: Administration of justice; arbitrary arrest; freedom of expression; military
---------------------------------------------------------------------

Dear Friends,

The Asian Human Rights Commission (AHRC) has received updated information from Thai Lawyers for Human Rights (TLHR) regarding the arrest of activists who attempted to exercise their right of expression. On 10 July 2016, the Ban Pong police searched the vehicle of the New Democracy Movement (NDM) activists, and found campaign material about the Constitutional Referendum and "Vote No" fliers. They were then held in custody for questioning, together with a reporter from Prachatai. No charges were initially pressed against them, but afterwards the Commander of the Provincial Police Region 7 instructed the officer to charge them with violating the Constitutional Referendum Act B.E. 2559's Section 61 for preparing to distribute the fliers.

CASE NARRATIVE:

On 10 July 2016 at around 11:30 a.m., police officials from the Ban Pong Police Station, Ratchaburi, searched the vehicle of Mr. Pakorn Areekul, aka "Man", an activist of the New Democracy Movement (NDM). Mr. Pakorn had gone to Ban Pong District earlier to give moral support to some residents who had been summoned to acknowledge their charges. The local people there have been charged as a result of opening a referendum monitoring center. In the back of the activist' pickup truck, the officials have found documents featuring reasons against the Draft Constitution, 'Vote No' stickers, and fliers made by the Election Commission of Thailand (ECT). Mr. Pakorn, along Mr. Anan Loket and Mr. Anucha Rungmorakot, his fellow NDM activists as well as Mr. Thaweesak Kerdpokha, a reporter from Prachatai, were about to board the vehicle when they were summoned for questioning. Mr.Thaweesak was interrogated, despite showing his press ID card.

Initially, the officials did not press any charges against, simply informing them that they had to put the information into the daily record and had to seize the documents. But later, at around 12:00 p.m., the police informed them that they had just sent the information to the Provincial Election Commission and local military authorities for review. During the initial questioning, Mr. Thaweesak revealed that the officials tried to establish that Prachatai online news has been the funder behind the NDM, including giving the activists money to print the material to campaign against the Draft Constitution.

Then, the Deputy Superintendent of Ban Pong Police Station had made the phone call to the Election Commissioner on electoral affairs, Mr. Somchai Srisutthiyakorn, who informed the police that if the documents were simply in the possession and not yet distributed, the activists could not be held accountable. But if they had distributed them, whether it would violate the Order of the Head of the NCPO No. 3/2558 or not, this would be subject to the discretion of the police on a case by case basis. Nevertheless, according to the police, the Commander of the Provincial Police Region 7 insisted that the act could be actionable as the activists were getting prepared to distribute the material and hence decided to press charges relating to the Constitutional Referendum Act's Section 61, paragraph two against them. Mr. Somchai also added that the Constitutional Drafting Committee (CDC) was still reviewing the referendum campaign material of the NDM, but insofar could not determine if by simply having them in possession would constitute an offence or not.

In the Arrest Memo, the police noted that around 11:00 a.m the arresting police have received a report from people who acted in good faith and via the police scanner of the Ban Pong Police Station that a group of individuals were driving a pickup truck carrying with them documents and gears in the back of the truck. From their behavior, it was believed they were there to distribute the documents, the fliers, and brochures to campaign against the vote to endorse the Draft Constitution in Ban Pong District. From further investigation, it was found that the vehicle had pulled over on Songphon Road, Ban Pong Municipality, Tambon Ban Pong, Ratchaburi. The officials have thus identified themselves and asked to search the vehicle.

From the search, the evidence no. 2-14 were recovered, and from asking Mr. Pakorn Areekul, they have learned that he had travelled there with Mr. Thaweesak Kerdpokha, Mr. Anan Loket and Mr. Anucha Rungmorakot in order to visit their friends who have been summoned in the case of the unlawful assembly of five persons and upward or a political gathering without permission and to run the campaign about the Draft Constitution. Regarding the evidence no. 2-14, Mr. Pakorn accepted that they belonged to the New Democracy Movement (NDM) and they had been loaded into his vehicle.

The officials have thus seized the evidence and informed the arrestees of the charge against them for "having transmitted a text, or an image, or sound through the print media, or radio, or television, or electronic media, or other channels, which are inconsistent with the truth or are violent, aggressive, rude, inciting or threatening and aimed at preventing a voter from casting a ballot or vote in any direction shall be considered as disrupting the referendum", which is an offence of the Constitutional Referendum Act B.E. 2559's Section 61 paragraph two.

The 14 items of evidence seized by the officials include the pickup truck, Vinyl banner reading "Any Thai Prime Minister is subject to mocking" (one copy), a loudspeaker and microphones, 'Vote No' bookmarks, document 'Seven reasons why the Draft Constitution should be rejected'. brochure "How to cast your votes", document "A dissenting opinion", document 'Release the Seven Referendum Prisoners', public statement of the Nitirat Group on the Referendum, document "How to apply to vote outside your constituency" and 'Vote No' stickers.

The four suspects pleaded not guilty to the charge and refused to sign their names in the Arrest Memo. Later at 16.00, the police also searched in the passenger cabin and seized five more items on top of the documents already seized including a NDM donation box made of paper with 2,571 baht inside and a booklet "In the name of the NCPO's (in)justice" by the Thai Lawyers for Human Rights (TLHR).

Around 18:00 p.m., the police have brought the four suspects to a holding cell at the Ban Pong Police Station and denied them bail at the police level. They were informed that the interrogation shall take place that night and they would be brought to the Provincial Court of Ratchaburi for a remand hearing on 11 July 2016 which TLHR attorneys filed a motion objecting the remand then.

Of late at 20.20 p.m., it was reported that four vehicles of police officials have laid siege to the residence of Mr. Panuwat Songsawatchai, student of Faculty of Political Science, Maejo University Phrae Campus - Maejo University, another suspect in the same case who was summoned to turn himself in at the Ban Pong Police Station as a result of his activity at the referendum monitoring center in the morning. He was pressed with the same charge as the four individuals.

On 11 July 2016 at 9:00 a.m., all five were brought to the pre-trial remand hearing at the Provincial Court of Ratchaburi. The police investigator of Ban Pong Police Station asked the Court to have them remanded for 12 days and the Court approved as submitted by police. However, six alleged offenders have been released by the order of the Court, by placing bail bond at 140,000 Baht (around 3,975 $) each.

ADDITIONAL INFORMATION:

Previously, on 23 June 2016, other NDM activists and union activists, 13 of them, were arrested while distributing campaign material in the public to urge them to vote during the Constitutional Referendum in Samut Prakan province. They were pressed with charges relating to the violation of the Order of the Head of the NCPO No. 3/2558 and the Constitutional Referendum Act's Section 61 (please see Urgent Appeal Case: AHRC-UAC-075-2016 for more information). In addition, seven other student activists from the Kasetsat Liberals were apprehended while organizing a ceremony to mark the anniversary of Thailand's democracy "24 June: Dusting off Democracy" at the Lak Si Monument on 24 June and their 'Vote No' campaign material of their car were also seized. The seven activists were pressed with charges relating to the political gathering of five persons and upward, the violation of the Order of the Head of the NCPO No. 3/2558, though they were not charged for violating the Constitutional Referendum Act's Section 61.

SUGGESTED ACTION:

Please write letters to the authorities below, asking them to immediately withdraw the case and end any ongoing investigation into the 4 activists and 1 reporter from Prachatai.

Please note that the Asian Human Rights Commission is writing a separate letter to the UN Special Rapporteur on the promotion and protection of the right to freedom of opinion expression and seeking his urgent intervention into this matter.


To support this case, please click here: 

SAMPLE LETTER:

Dear ___________,

COUNTRY: End judicial harassment of pro-democracy activists and reporter

Name of victim: 1. Mr. Pakorn Areekul 2. Mr. Anan Loket 3.Mr. Anucha Rungmorakot 4.Mr. Thaweesak Kerdpokha 5. Mr. Panuwat Songsawatchai
Names of alleged perpetrators: Military Officers and Police Officers
Date of incident: 10 July 2016 to the present
Place of incident: Ratchaburi province, Thailand

I am writing to voice my deep concern regarding the arrest of the New Democracy Movement (NDM) activists and a reporter on the offence against the Constitutional Referendum Act as a result of the documents recouped from their vehicle, even though they were not yet distributed, emerged in the wake of puzzlement by the suspects in the case.

While the international community has frequently described freedom of expression as one of the essential foundations of a democratic society because it guarantees the right of every person to exchange information, debate ideas and express opinions, the Constitutional Referendum Act B.E. 2559's Section 61 paragraph and its implementation have shown contradictory results. Because it intends to restrict people's right who need to discuss – and to criticise – decisions about their country.

Moreover, generally Article 19 of International Covenant on Civil and Political Rights (ICCPR) prohibits the state from interfering with freedom of expression. This would prevent, for example, the government attempting to ban particular forms of political or artistic expression. The prohibition is not limited to the government but also includes all public bodies such as local authorities, schools and universities which Thailand, as a State party, should respect it.

Therefore, I would like to urge:
1. The Commander of Royal Thai Police to immediately and unconditionally drop all charges against the 4 activists and 1 reporter who were trying to campaign and report around the referendum on the draft constitution; 
2. The Commissioner-General of Royal Thai Police and the Attorney General of Office of Attorney General to guarantee in all circumstances the physical and psychological integrity of the 4 activists and 1 reporter and unconditionally drop all charges against them;
3. The Chairman of the National Human Rights Commission to urge The Royal Thai Police and The National for Peace and Order (NCPO) to take prompt action to protect the 4 activists and 1 reporter who were trying to campaign and report around the referendum on the draft constitution; 
4. The NCPO to cease obstructing, threatening, and arresting those who campaign around the referendum and express differing views about the draft constitution in an orderly, peaceful and open manner, and allow the free presentation of views to accept or reject the draft constitution through various channels.

Yours Sincerely,

……………….

PLEASE SEND YOUR LETTERS TO:

1. General Prayuth Chan-ocha
Prime Minister
Head of the National Council for Peace and Order
Rachadamnoen Nok Road
Bang Khun Phrom
Bangkok 10200 
THAILAND
Tel: +662 283-4000
Fax: +662 282-5131
Email: panadda_d@opm.go.th

2. Pol Gen Chakthip Chaijinda
Commissioner General of the Royal Thai Police 
Rama I Rd, Khwaeng Pathum Wan, 
Khet Pathum Wan, Bangkok 10330
THAILAND
Tel: +662 2516 831
Fax: +662 2053 738

3. Pol.Sub.Lt. Pongniwat Yuthaphunboripahn 
Deputy Attorney General.
The Office of the Attorney General
The Government Complex Commemorating His Majesty the King's 80th Birthday Anniversary 5th December, B.E.2550 (2007), Building B 120 Moo 3
Chaengwattana Road 
Thoongsonghong, Laksi Bangkok 10210 
THAILAND
Tel: +662 142 1444 
Fax: +662 143 9546 
Email: ag@ago.go.th

4. Mr. What Tingsamitr
Chairman of National Human Rights Commission 
The Government Complex Commemorating His Majesty the King's 80th Birthday Anniversary 5th December
B.E.2550 (2007), Building B 120 Moo 3
Chaengwattana Road 
Thoongsonghong, Laksi Bangkok 10210 
THAILAND 
Tel: +662141 3800+6621413900
E-mail: help@nhrc.or.th

Thank you.

Urgent Appeals Programme 
Asian Human Rights Commission (ua@ahrc.asia)