ยินดีต้อนรับ

พลเมืองที่รอบรู้เท่าทัน คือ พลังประชาธิปไตยที่แท้จริง
Well-informed citizens are the true democratic forces.

Thursday, May 19, 2016

เหล่ามารร้าย สุนัขรับใช้ทรราช คสช.ร่วมผสมโรง ทำลายพระธัมมชโย

เหล่ามารร้าย สุนัขรับใช้ทรราช คสช.ร่วมผสมโรง ทำลายพระธัมมชโย

-----------------------------------------------------------------------------------


นักวิชาการด้านพระพุทธศาสนาเรียกร้องให้"สมเด็จช่วง"ออกคำสั่งให้ "พระธัมมชโย"ออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายชั่วคราว 

-
วันนี้(19พ.ค.59)นายทวีวัฒน์ ปุณฑริกวิวัฒน์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนามหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาแห่งโลก ให้ความเห็นกรณี พระเทพญาณมหามุนี หรือ พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ถูกศาลอาญา อนุมัติออกหมายจับ ในคดีความผิดฐานสมคบกันฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงิน ร่วมกันรับของโจร ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ได้แจ้งหนังสือให้พระธัมมชโย เข้ามอบตัวเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาภายในวันที่ 26 พ.ค.นี้ 

-
เชื่อว่าพระธัมมชโยจะไม่เดินทางเข้ามอบตัว เนื่องจากได้ประกาศชัดเจนว่าจะไม่ออกจากวัด  ซึ่งหากดีเอสไอจะส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปจับกุม เชื่อว่า ลูกศิษย์วัดจะไม่ยินยอมและออกมาปกป้อง  ดังนั้นเจ้าหน้าที่จะต้องไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ก่อนดำเนินการใดๆเพื่อไม่ไห้เกิดความวุ่นวาย

-
พร้อมมองว่ามหาเถรสมาคม โดยมีสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ และผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชฯ เป็นผู้มีอำนาจสูงสุด ควรจะออกคำสั่งให้พระธัมมชโยออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายเป็นการชั่วคราวระหว่างถูกดำเนินคดี ซึ่งเป็นการแสดงจุดยืนว่าเป็นอิสระจากวัดพระธรรมกายเพื่อความโปร่งใส และเป็นผลดีต่อการขึ้นดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชในอนาคต

-
นักวิชาการด้านพระพุทธศาสนา ระบุว่า ขณะนี้พระธัมมชโย สามารถนำหลักฐานมาต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม หากพิสูจน์ว่าบริสุทธิ์ก็จะพ้นมลทินและสามารถกลับไปดำรงตำแหน่งได้อย่างสง่างาม   แต่หากพบว่ามีความผิด ตามกฎมหาเถรสมาคมและพรบ.คณะสงฆ์จะต้องดำเนินการสึก  ทั้งนี้มองว่ากรณีที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบกับความเลื่อมใสของประชาชนที่มีต่อวัดพระธรรมกายในภาพรวมอย่างแน่นอน 


เหล่ามารร้าย สุนัขรับใช้ทรราช คสช.ร่วมผสมโรง ทำลายพระธัมมชโย

เหล่ามารร้าย สุนัขรับใช้ทรราช คสช.ร่วมผสมโรง ทำลายพระธัมมชโย

-----------------------------------------------------------------------------------


นักวิชาการด้านพระพุทธศาสนาเรียกร้องให้"สมเด็จช่วง"ออกคำสั่งให้ "พระธัมมชโย"ออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายชั่วคราว 

-
วันนี้(19พ.ค.59)นายทวีวัฒน์ ปุณฑริกวิวัฒน์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนามหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาแห่งโลก ให้ความเห็นกรณี พระเทพญาณมหามุนี หรือ พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ถูกศาลอาญา อนุมัติออกหมายจับ ในคดีความผิดฐานสมคบกันฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงิน ร่วมกันรับของโจร ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ได้แจ้งหนังสือให้พระธัมมชโย เข้ามอบตัวเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาภายในวันที่ 26 พ.ค.นี้ 

-
เชื่อว่าพระธัมมชโยจะไม่เดินทางเข้ามอบตัว เนื่องจากได้ประกาศชัดเจนว่าจะไม่ออกจากวัด  ซึ่งหากดีเอสไอจะส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปจับกุม เชื่อว่า ลูกศิษย์วัดจะไม่ยินยอมและออกมาปกป้อง  ดังนั้นเจ้าหน้าที่จะต้องไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ก่อนดำเนินการใดๆเพื่อไม่ไห้เกิดความวุ่นวาย

-
พร้อมมองว่ามหาเถรสมาคม โดยมีสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ และผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชฯ เป็นผู้มีอำนาจสูงสุด ควรจะออกคำสั่งให้พระธัมมชโยออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายเป็นการชั่วคราวระหว่างถูกดำเนินคดี ซึ่งเป็นการแสดงจุดยืนว่าเป็นอิสระจากวัดพระธรรมกายเพื่อความโปร่งใส และเป็นผลดีต่อการขึ้นดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชในอนาคต

-
นักวิชาการด้านพระพุทธศาสนา ระบุว่า ขณะนี้พระธัมมชโย สามารถนำหลักฐานมาต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม หากพิสูจน์ว่าบริสุทธิ์ก็จะพ้นมลทินและสามารถกลับไปดำรงตำแหน่งได้อย่างสง่างาม   แต่หากพบว่ามีความผิด ตามกฎมหาเถรสมาคมและพรบ.คณะสงฆ์จะต้องดำเนินการสึก  ทั้งนี้มองว่ากรณีที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบกับความเลื่อมใสของประชาชนที่มีต่อวัดพระธรรมกายในภาพรวมอย่างแน่นอน 


เสนานาวากลางพายุใหญ่! แปดพายุร้อนหลังสงกรานต์

การสร้างบรรลังบนปากกระบอกปืนของทรราช คสช. นั้นไม่ยาก หากแต่....
การนั้งบนปากกระบอกปืนที่สร้างขึ้นนั้น มันยากกว่า หลายร้อยเท่า

--------------------------------------------------------------------------------

เสนานาวากลางพายุใหญ่! แปดพายุร้อนหลังสงกรานต์
-
ในท่ามกลางความร้อนของอากาศเช่นนี้ หลายๆ คนคงต้องดูรายงานอากาศ เพราะพายุฤดูร้อนในช่วงเวลาปัจจุบันเป็นเรื่องที่น่ากังวลใจไม่น้อย ดังจะเห็นได้จากภาพข่าวที่เกิดขึ้นในหลายๆ จังหวัด
-
เห็นรายงานเตือนภัยจากพายุแล้ว ก็อดคิดเปรียบเทียบไม่ได้ว่าระหว่างพายุลมร้อนกับพายุการเมืองที่กำลังก่อตัวขึ้นนั้น พายุลูกไหนจะหนักหน่วงกว่ากัน
-
ขณะเดียวกันก็อดคิดถึง "รัฐนาวาทหาร" ท่ามกลางพายุเช่นนี้ไม่ได้…
-
พายุการเมืองหลังสงกรานต์ดูจะท้าทายต่อรัฐนาวา คสช. เป็นอย่างยิ่ง!
-
ถ้าสถานีอุตุนิยมวิทยาจะต้องรายงานสภาพอากาศทางการเมืองแล้ว ก็อาจประเมินได้ว่ารัฐนาวา คสช. กำลังเผชิญกับพายุ 8 ลูกในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน
-
พายุทั้ง 8 ลูกนี้จะโหมกระหน่ำและมีความรุนแรงเพียงใดนั้น ยังคงเป็นเรื่องที่จะต้องติดตามกันต่อไป
-
1)
-
พายุโลก
-
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพายุใหญ่ลูกสำคัญเป็นพายุจากภายนอก พายุลูกนี้ใหญ่กว่าที่คิด แต่รัฐบาลทหารในทุกประเทศก็มักจะกล่าวเสมอว่าการใช้อำนาจเผด็จการที่เกิดขึ้นเป็น "กิจการภายใน" ของรัฐ
-
ตัวอย่างใกล้บ้านในอดีตก็คือ รัฐบาลทหารของเมียนมา ซึ่งก็มักจะกล่าวเสมอว่า การดำเนินการของรัฐบาลทหารเป็นเรื่องภายใน
-
แม้จะเป็นเรื่องภายใน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ การถูกกดดันอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถูก "แซงก์ชั่น" จากภายนอก
-
ปรากฏการณ์เช่นนี้บ่งบอกให้เห็นว่าการเมืองภายในไม่ใช่กิจการภายในอีกต่อไป
-
ยิ่งเมื่อรัฐต้องอยู่ในบริบทที่เป็น "โลกาภิวัตน์" ที่เห็นความเชื่อมต่อระหว่างโลกภายในกับโลกภายนอกแล้ว การยืนบนความเชื่อว่ากิจการภายในของรัฐเป็นสิ่งที่แทรกแซงไม่ได้นั้น ดูจะไม่เป็นจริงเท่าใดนัก กระแสประชาธิปไตยในกระแสโลกาภิวัตน์แทรกซึมเข้าไปในทุกส่วนของประเทศ จนทำให้ระบอบอำนาจนิยมไม่ใช่เรื่องภายในของรัฐอีกต่อไป
-
ดังนั้น สำหรับรัฐบาลทหารไทยปัจจุบันซึ่งถือกำเนิดจากการรัฐประหารในปี 2557 ภายใต้การสนับสนุนของกลุ่มอนุรักษนิยมฝ่ายต่างๆ ที่พยายามจะสร้างวาทกรรมว่าการเมืองไทยเป็นเรื่องภายในของไทย ก็ดูจะเป็นวาทกรรมที่ไม่ได้รับการตอบรับจากโลกเท่าใดนัก
-
การกดดันรัฐบาลทหารไทยยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
-
และยิ่งเมื่อรัฐบาลพยายามจะแสดงออกถึง "มาตรการอำนาจนิยม" ในรูปแบบของการจับกุมที่เพิ่มมากขึ้นหรือคำสั่งที่เข้มงวดมากขึ้น ก็เห็นได้ชัดเจนว่ามาตรการดังกล่าวก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ พร้อมทั้งมีเสียงเรียกร้องให้เคารพในการแสดงออกของผู้ที่เห็นต่าง
-
ดังตัวอย่างล่าสุดคือเสียงเรียกร้องของข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติในวันที่ 12 เมษายน 2559 เป็นต้น
-
แม้พายุจากภายนอกอาจจะไม่สามารถพัดจนทำให้รัฐนาวาทหารจมลงได้ทันที แต่พายุจากภายนอกก็ทำให้ผู้นำทหารที่อยู่ในอำนาจต้อง "หงุดหงิด" แล้วส่งต่อความไม่พอใจเช่นนี้ไปให้กระทรวงการต่างประเทศไทยคอยตอบโต้เสียงเรียกร้องจากต่างประเทศอยู่ร่ำไป
-
แต่ก็ดูเหมือนเสียงชี้แจงจากรัฐบาลไทยและคำตอบโต้จากกระทรวงการต่างประเทศไทยจะแผ่วเบาเหลือเกินในเวทีโลกปัจจุบัน
-
ฉะนั้น ปัจจัยจาก "ลมภายนอก" จึงยังคงพัดแรงและสร้างแรงกดดันให้แก่รัฐบาลไทยต่อไป แม้อาจจะไม่ใช่ปัจจัยที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลได้โดยตรงในขณะนี้ก็ตามที
-
2)
-
พายุรัฐธรรมนูญ
-
หลังจากการคว่ำร่างรัฐธรรมนูญเกิดขึ้น และตามมาด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญอีกครั้งภายใต้การนำของ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ แล้ว นักวิเคราะห์ทั้งภายในและภายนอกพอจะคาดเดาได้ทันทีว่าสาระของร่างรัฐธรรมนูญ "ฉบับมีชัย" ย่อมจะตกอยู่ในการวิพากษ์วิจารณ์ของฝ่ายต่างๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
-
ว่าที่จริงปรากฏการณ์เช่นนี้ก็เกิดขึ้นให้เห็นอย่างชัดเจนมาแล้วกับ "ฉบับบวรศักดิ์"
-
ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใดกับเสียงที่แสดงออกถึงความเห็นในส่วนต่างๆ กับสาระของร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าว และดูเหมือนว่าจากการแสดงความเห็นที่เกิดขึ้นที่ออกไปในเชิงลบต่อรัฐธรรมนูญนั้น กำลังจะกลายเป็นสัญญาณที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ว่าการเมืองไทยกำลังตกอยู่ท่ามกลาง "พายุรัฐธรรมนูญ" ลูกใหญ่
-
และพายุลูกนี้ทำท่าจะก่อตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
-
สำหรับในทางอุตุนิยมวิทยาการเมืองแล้ว คาดเดาได้ไม่ง่ายว่า พายุลูกนี้จะสร้างความเสียหายแก่รัฐนาวาทหารมากน้อยเพียงใด
-
แต่สัญญาณที่เกิดขึ้นดูจะบอกอย่างชัดเจนแล้วว่ารัฐนาวาทหาร คสช. คงจะพาตัวเองออกจากพายุลูกนี้ได้ยาก
-
ปัญหาที่สำคัญก็คือแล้วรัฐนาวาทหารจะเผชิญกับพายุลูกนี้ได้อย่างไร จนเรือไม่พลิกคว่ำลงกลางพายุใหญ่
-
3)
-
พายุประชามติ
-
พายุรัฐธรรมนูญที่ก่อตัวชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ นั้น ยังพาพายุอีกลูกมาด้วยก็คือ "พายุประชามติ" ซึ่งผลจากท่าทีของฝ่ายต่างๆ ที่แสดงความเห็นต่อสาระในร่างรัฐธรรมนูญ อันจะนำไปสู่การลงประชามติในวันที่ 7 สิงหาคม 2559 นั้น เริ่มทำให้เกิดการคาดคะเนถึงชะตากรรมของร่างรัฐธรรมนูญนี้ว่าจะเกิดอาการ "แท้ง" เหมือนกับร่างฉบับก่อนหรือไม่
-
หลายฝ่ายเริ่มกังวลว่าในที่สุดแล้วการเมืองไทยอาจจะประสบปัญหาก่อนการลงประชามติ
-
หรือท่าทีของผู้นำรัฐบาลก็แสดงออกในลักษณะที่ไม่แตกต่างกัน จนทำให้นักวิเคราะห์เริ่มคิดถึงอนาคตของวันที่ 7 สิงหาคม ว่าจะเกิดขึ้นจริงได้เพียงใด
-
ขณะเดียวกันก็เริ่มเห็นถึงการแสดงออกจากกลุ่มผู้เห็นต่างมากขึ้น
-
เสียงวิพากษ์วิจารณ์รัฐธรรมนูญจากกลุ่มที่ไม่เห็นด้วย ดูจะดังขึ้นเรื่อยๆ และนักสังเกตการณ์แทบจะไม่ต้องวิเคราะห์ต่อเลยว่าถ้าพรรคการเมืองใหญ่สองพรรคมีความเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญนี้ร่วมกันแล้ว เกมประชามติที่จะนำไปสู่ชัยชนะจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
-
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสียงจากปีกปัญญาชน และกลุ่มเอ็นจีโอบางส่วนก็เริ่มชัดเจนขึ้นไม่แตกต่างกัน
-
ฉะนั้น จึงพอจะคาดการณ์ได้ไม่ยากนักว่าพายุประชามติจะยิ่งทำให้พายุรัฐธรรมนูญรุนแรงขึ้น
-
และลมพายุลูกนี้จะสร้างความเสียหายทางการเมืองกับรัฐนาวา คสช. อย่างใดหรือไม่
-
จึงเป็นประเด็นที่จะต้องติดตามดูกันต่อไปในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
-
4)
-
พายุสงฆ์
-
ในท่ามกลางพายุการเมือง พายุอีกลูกที่เริ่มพัดสู่สังคมไทยมาระยะหนึ่งแล้วก็คือ ลมพายุจากปัญหากรณีการแต่งตั้งพระสังฆราชองค์ใหม่ ปัญหานี้เห็นได้ชัดเจนมากขึ้นว่าไม่ใช่เป็นเรื่องของศาสนจักรอีกต่อไป
-
แต่ความน่ากังวลก็คือปัญหาดังกล่าวกำลังสะท้อนถึงความขัดแย้งระหว่างศาสนจักรกับอาณาจักรหรือไม่
-
ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว ความขัดแย้งชุดนี้จะจบลงอย่างไร
-
กรณีนี้ไม่ใช่เรื่องของการต่อสู้ในปัญหาตำแหน่งประมุขสงฆ์เท่านั้น หากแต่กำลังสะท้อนการชิงอำนาจทางการเมืองชุดใหญ่อีกชุดหนึ่งของสังคมไทยโดยมีกองทัพเป็นแนวหน้าของการสู้ และมีพื้นที่สงฆ์เป็นสนามรบ
-
ดังนั้น ในขณะที่ปัญหาการแต่งตั้งพระสังฆราชยังไม่สิ้นสุดนั้น สัญญาณจากปัญหาพระอีกเรื่องหนึ่งก็ตามมา ก็คือ มติสงฆ์จากจตุรทิศแห่งสวนแสงธรรมที่มีมติไม่ไว้วางใจต่อผู้นำรัฐบาล
-
อันเป็นผลจากการปิดสถานี "วิทยุธรรมะ" ของคณะสงฆ์ในสายของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน…
-
พายุลูกนี้ยังคงเป็นลมร้อนแรง และเป็นปัจจัยที่คาดคะเนได้ยาก
-
แต่ถ้าพายุนี้พัดแรงมากขึ้น ก็คงส่งผลต่อนาวาของรัฐบาลทหารอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอน
-
5)
-
พายุเศรษฐกิจ
-
ในท่ามกลางพายุลูกต่างๆ ที่พัดกระแทกรัฐนาวาของ คสช. อย่างต่อเนื่องนั้น พายุร้ายอีกลูกที่น่ากลัวก็คือพายุเศรษฐกิจ
-
พายุลูกนี้รุนแรงเสมอเพราะความอยู่ดีกินดีที่เกิดขึ้นจากสถานะทางเศรษฐกิจของประเทศนั้น เป็นปัจจัยสำคัญต่อการคงอยู่ของรัฐบาลทั่วโลก
-
แม้เศรษฐกิจจะไม่ใช่ปัจจัยโดยตรงที่จะทำให้คนลุกขึ้นมาโค่นล้มรัฐบาล ดังตัวแบบทางทฤษฎีของลัทธิมาร์กซ์ แต่ก็ละเลยไม่ได้ว่า รัฐบาลที่ไม่อาจสร้างให้ประชาชนมีสตางค์ในกระเป๋านั้นอยู่ได้ยาก
-
ไม่ว่ารัฐบาลจะใช้การโฆษณาทางการเมืองอย่างใดก็แล้วแต่ แต่สถานะทางเศรษฐกิจที่เป็นจริงในชีวิตของประชาชนคือคำตอบที่หลอกลวงไม่ได้
-
ดังนั้น ไม่ว่ารัฐบาลทหารจะใช้การโฆษณาทางการเมืองอย่างไรก็ตาม จะให้คนออกมาพูดว่าเศรษฐกิจไทยกำลังจะดีขึ้นอย่างไรก็ตาม
-
แต่เมื่อชีวิตจริงทางเศรษฐกิจของประชาชนสวนทางจากคำบอกเล่าเหล่านั้นโดยสิ้นเชิงแล้ว ความน่าเชื่อถือของรัฐบาลก็ลดลงเรื่อยๆ
-
จนถึงวันนี้คนไม่ค่อยเชื่อว่ารัฐบาลทหารตลอดรวมถึงบรรดา "มือเศรษฐกิจ" ที่ออกแสดงหน้าจอโทรทัศน์ จะเป็นความหวังของเศรษฐกิจไทยเท่าใดนัก
-
พร้อมกันนี้ก็มีสัญญาณเตือนถึงพายุเศรษฐกิจลูกใหญ่ที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากปัญหาเศรษฐกิจในเรื่องต่างๆ
-
นอกจากนี้ ยังมีสัญญาณบ่งบอกถึงภาวะ "เศรษฐกิจขาลง" ของไทยอย่างชัดเจน
-
ขณะเดียวกันก็คาดคะเนได้ยากว่าอาการนี้จะนำไปสู่ภาวะถดถอยอย่างรุนแรงหรือไม่ในอนาคตอันใกล้ พายุเศรษฐกิจลูกนี้อาจจะใหญ่และน่ากลัวมากกว่าที่คิด
-
6)
-
พายุแล้ง
-
ไม่มีใครเชื่อว่าความร้อนและความแห้งแล้งที่ทวีมากขึ้นนับจากหลังเทศกาลความสุขแห่งสงกรานต์นั้น เป็นผลที่เกิดจากการยึดอำนาจของรัฐบาลทหาร
-
แต่สิ่งที่ทุกคนจับตามองก็คือ รัฐบาลทหารจะบริหารประเทศในวิกฤตการณ์ภัยแล้งครั้งนี้อย่างไร และปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความแห้งแล้งที่กำลังขยายตัวเป็นวงกว้างนั้น กำลังก่อให้เกิดผลกระทบอย่างมากทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม
-
แน่นอนว่าต้นทุนของเกษตรกรไทยในยามนี้หนักขึ้นมาก เช่น กรณีของชาวสวนผลไม้ หรือขณะเดียวกันอนาคตของกสิกรไทยกับการทำนาก็แทบเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยาก
-
ปรากฏการณ์ความแห้งแล้งครั้งนี้กำลังพิสูจน์อีกครั้งว่า ชาวนาไทยทำนาได้ด้วยความกรุณาของฝนฟ้าที่มาตามฤดูกาล
-
แต่เมื่อไม่มีฝนและผิดฤดูกาลแล้ว ก็แทบจะไม่มีระบบอะไรรองรับเลย
-
พายุแห่งความแห้งแล้งครั้งนี้กระหน่ำสังคมไทยทั่วทุกส่วน
-
ไม่เพียงแต่ทำนาไม่ได้ ทำการเกษตรไม่ได้เท่านั้น แต่สิ่งที่รออยู่ข้างหน้าก็คือ ลูกหลานชาวนาชาวสวนจะเอาสตางค์ที่ไหนไปจ่ายค่าเทอม โรงเรียนกำลังจะเปิดปีการศึกษาใหม่ในกลางเดือนพฤษภาคมนี้
-
ขณะเดียวกันก็น่าสนใจว่าพายุลูกนี้จะสร้างความเสียหายทางการเมืองแก่รัฐนาวาทหารเพียงใด
-
หรือความแล้งเป็นชะตากรรมของชาวนาชาวสวนที่รัฐบาลไม่ต้องรับผิดชอบ
-
เพราะอย่างน้อยสนามกอล์ฟทั้งของพลเรือนและทหารก็ยังใช้น้ำรดหญ้าได้เป็นปกติ
-
7)
-
พายุเล็ก
-
ในท่ามกลางพายุใหญ่ที่กำลังก่อตัวขึ้นในสังคมไทยนั้น พายุลูกเล็กๆ ลูกหนึ่งก็แฝงตัวเข้ามา ลมพายุลูกนี้ไม่แรง แต่ก็กระแทกเข้าโดยตรงกับรัฐนาวาของ คสช.
-
พายุเล็กๆ ลูกนี้เกิดจากการบรรจุลูกหลานของผู้นำทหาร คสช. เข้ารับราชการในกระทรวงกลาโหม แน่นอนว่าไม่ใช่พายุใหญ่ แต่ก็ดูจะทำให้รัฐนาวา คสช. ต้องรีบแก้ปัญหาอย่างรวดเร็ว
-
ว่าที่จริงก็อาจจะเทียบเคียงได้กับพายุราชภักดิ์ แต่เป็นในขอบเขตที่เล็กกว่ามาก
-
ดังนั้น แม้พายุนี้จะไม่กระแทกแรงจนรัฐนาวา คสช. ต้องเสียศูนย์
-
แต่อย่างน้อยแรงกระแทกที่เกิดขึ้นก็ทำให้กัปตันเรือ คสช. ต้องรีบออกมาดู และพยายามปรับทิศทางรัฐนาวาลำนี้ให้ออกไปพ้นจากพายุลูกเล็กๆ นี้ให้ได้
-
เพราะแม้พายุลูกนี้จะลูกเล็ก แต่ก็อาจพัดรัฐนาวา คสช. ให้เกยตื้นได้ไม่ยากนัก
-
8)
-
พายุศรัทธา
-
ไม่ว่าพายุการเมืองจะเกิดกี่ลูกก็ตาม แต่พายุที่น่ากลัวที่สุดก็คือ พายุแห่งความไร้ศรัทธา ถ้าพายุลูกนี้พัดแรงขึ้น ก็ยิ่งบ่งบอกถึงอารมณ์และความรู้สึกของประชาชนต่อรัฐนาวา คสช.
-
ดังนั้น การแก้ปัญหาและการแสดงออกทางการเมืองของรัฐบาลจึงเป็นปัจจัยสำคัญในสถานการณ์ปัจจุบัน
-
แน่นอนว่าไม่มีใครคาดหวังว่ารัฐบาลทหารจะแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้
-
แต่รัฐบาลทหารที่ไม่อาจแสดงผลงานให้ประชาชนรู้สึกยอมรับได้แล้ว การคงอยู่ของรัฐบาลเช่นนี้จะกลายเป็น "วิกฤตศรัทธา" ในตัวเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ วิกฤตศรัทธาเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ที่ตั้งอยู่บนรากฐานอารมณ์ความรู้สึกของประชาชน ดังนั้นจึงไม่มีรัฐบาลใดดำรงอยู่ได้บนความไร้ศรัทธาของประชาชน
-
ท่ามกลางความอันตรายจากลมพายุทั้ง 8 ลูกนี้ สิ่งที่ไม่มีใครคาดเดาได้ก็คือ ปัญหาที่ก่อตัวมากขึ้นเรื่อยๆ อาจเปรียบเทียบได้กับ "ภูเขาน้ำแข็งใหญ่" ที่จมเรือเดินสมุทรได้ไม่ยากนัก
-
ส่วนรัฐนาวา คสช. จะกลายเป็น "เรือไททานิค" หรือไม่ ก็คงต้องติดตามกันต่อไป…
-
และใครจะเป็น "แจ็กกับโรส" ยืนหน้าหัวเรือลำนี้ คงต้องยกให้ท่านผู้อ่านจินตนาการกันเอาเองครับ!

-
Cr. สุรชาติ บำรุงสุข
ที่มา ยุทธบทความ, มติชนสุดสัปดาห์


เสนานาวากลางพายุใหญ่! แปดพายุร้อนหลังสงกรานต์

การสร้างบรรลังบนปากกระบอกปืนของทรราช คสช. นั้นไม่ยาก หากแต่....
การนั้งบนปากกระบอกปืนที่สร้างขึ้นนั้น มันยากกว่า หลายร้อยเท่า

--------------------------------------------------------------------------------

เสนานาวากลางพายุใหญ่! แปดพายุร้อนหลังสงกรานต์
-
ในท่ามกลางความร้อนของอากาศเช่นนี้ หลายๆ คนคงต้องดูรายงานอากาศ เพราะพายุฤดูร้อนในช่วงเวลาปัจจุบันเป็นเรื่องที่น่ากังวลใจไม่น้อย ดังจะเห็นได้จากภาพข่าวที่เกิดขึ้นในหลายๆ จังหวัด
-
เห็นรายงานเตือนภัยจากพายุแล้ว ก็อดคิดเปรียบเทียบไม่ได้ว่าระหว่างพายุลมร้อนกับพายุการเมืองที่กำลังก่อตัวขึ้นนั้น พายุลูกไหนจะหนักหน่วงกว่ากัน
-
ขณะเดียวกันก็อดคิดถึง "รัฐนาวาทหาร" ท่ามกลางพายุเช่นนี้ไม่ได้…
-
พายุการเมืองหลังสงกรานต์ดูจะท้าทายต่อรัฐนาวา คสช. เป็นอย่างยิ่ง!
-
ถ้าสถานีอุตุนิยมวิทยาจะต้องรายงานสภาพอากาศทางการเมืองแล้ว ก็อาจประเมินได้ว่ารัฐนาวา คสช. กำลังเผชิญกับพายุ 8 ลูกในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน
-
พายุทั้ง 8 ลูกนี้จะโหมกระหน่ำและมีความรุนแรงเพียงใดนั้น ยังคงเป็นเรื่องที่จะต้องติดตามกันต่อไป
-
1)
-
พายุโลก
-
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพายุใหญ่ลูกสำคัญเป็นพายุจากภายนอก พายุลูกนี้ใหญ่กว่าที่คิด แต่รัฐบาลทหารในทุกประเทศก็มักจะกล่าวเสมอว่าการใช้อำนาจเผด็จการที่เกิดขึ้นเป็น "กิจการภายใน" ของรัฐ
-
ตัวอย่างใกล้บ้านในอดีตก็คือ รัฐบาลทหารของเมียนมา ซึ่งก็มักจะกล่าวเสมอว่า การดำเนินการของรัฐบาลทหารเป็นเรื่องภายใน
-
แม้จะเป็นเรื่องภายใน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ การถูกกดดันอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถูก "แซงก์ชั่น" จากภายนอก
-
ปรากฏการณ์เช่นนี้บ่งบอกให้เห็นว่าการเมืองภายในไม่ใช่กิจการภายในอีกต่อไป
-
ยิ่งเมื่อรัฐต้องอยู่ในบริบทที่เป็น "โลกาภิวัตน์" ที่เห็นความเชื่อมต่อระหว่างโลกภายในกับโลกภายนอกแล้ว การยืนบนความเชื่อว่ากิจการภายในของรัฐเป็นสิ่งที่แทรกแซงไม่ได้นั้น ดูจะไม่เป็นจริงเท่าใดนัก กระแสประชาธิปไตยในกระแสโลกาภิวัตน์แทรกซึมเข้าไปในทุกส่วนของประเทศ จนทำให้ระบอบอำนาจนิยมไม่ใช่เรื่องภายในของรัฐอีกต่อไป
-
ดังนั้น สำหรับรัฐบาลทหารไทยปัจจุบันซึ่งถือกำเนิดจากการรัฐประหารในปี 2557 ภายใต้การสนับสนุนของกลุ่มอนุรักษนิยมฝ่ายต่างๆ ที่พยายามจะสร้างวาทกรรมว่าการเมืองไทยเป็นเรื่องภายในของไทย ก็ดูจะเป็นวาทกรรมที่ไม่ได้รับการตอบรับจากโลกเท่าใดนัก
-
การกดดันรัฐบาลทหารไทยยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
-
และยิ่งเมื่อรัฐบาลพยายามจะแสดงออกถึง "มาตรการอำนาจนิยม" ในรูปแบบของการจับกุมที่เพิ่มมากขึ้นหรือคำสั่งที่เข้มงวดมากขึ้น ก็เห็นได้ชัดเจนว่ามาตรการดังกล่าวก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ พร้อมทั้งมีเสียงเรียกร้องให้เคารพในการแสดงออกของผู้ที่เห็นต่าง
-
ดังตัวอย่างล่าสุดคือเสียงเรียกร้องของข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติในวันที่ 12 เมษายน 2559 เป็นต้น
-
แม้พายุจากภายนอกอาจจะไม่สามารถพัดจนทำให้รัฐนาวาทหารจมลงได้ทันที แต่พายุจากภายนอกก็ทำให้ผู้นำทหารที่อยู่ในอำนาจต้อง "หงุดหงิด" แล้วส่งต่อความไม่พอใจเช่นนี้ไปให้กระทรวงการต่างประเทศไทยคอยตอบโต้เสียงเรียกร้องจากต่างประเทศอยู่ร่ำไป
-
แต่ก็ดูเหมือนเสียงชี้แจงจากรัฐบาลไทยและคำตอบโต้จากกระทรวงการต่างประเทศไทยจะแผ่วเบาเหลือเกินในเวทีโลกปัจจุบัน
-
ฉะนั้น ปัจจัยจาก "ลมภายนอก" จึงยังคงพัดแรงและสร้างแรงกดดันให้แก่รัฐบาลไทยต่อไป แม้อาจจะไม่ใช่ปัจจัยที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลได้โดยตรงในขณะนี้ก็ตามที
-
2)
-
พายุรัฐธรรมนูญ
-
หลังจากการคว่ำร่างรัฐธรรมนูญเกิดขึ้น และตามมาด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญอีกครั้งภายใต้การนำของ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ แล้ว นักวิเคราะห์ทั้งภายในและภายนอกพอจะคาดเดาได้ทันทีว่าสาระของร่างรัฐธรรมนูญ "ฉบับมีชัย" ย่อมจะตกอยู่ในการวิพากษ์วิจารณ์ของฝ่ายต่างๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
-
ว่าที่จริงปรากฏการณ์เช่นนี้ก็เกิดขึ้นให้เห็นอย่างชัดเจนมาแล้วกับ "ฉบับบวรศักดิ์"
-
ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใดกับเสียงที่แสดงออกถึงความเห็นในส่วนต่างๆ กับสาระของร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าว และดูเหมือนว่าจากการแสดงความเห็นที่เกิดขึ้นที่ออกไปในเชิงลบต่อรัฐธรรมนูญนั้น กำลังจะกลายเป็นสัญญาณที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ว่าการเมืองไทยกำลังตกอยู่ท่ามกลาง "พายุรัฐธรรมนูญ" ลูกใหญ่
-
และพายุลูกนี้ทำท่าจะก่อตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
-
สำหรับในทางอุตุนิยมวิทยาการเมืองแล้ว คาดเดาได้ไม่ง่ายว่า พายุลูกนี้จะสร้างความเสียหายแก่รัฐนาวาทหารมากน้อยเพียงใด
-
แต่สัญญาณที่เกิดขึ้นดูจะบอกอย่างชัดเจนแล้วว่ารัฐนาวาทหาร คสช. คงจะพาตัวเองออกจากพายุลูกนี้ได้ยาก
-
ปัญหาที่สำคัญก็คือแล้วรัฐนาวาทหารจะเผชิญกับพายุลูกนี้ได้อย่างไร จนเรือไม่พลิกคว่ำลงกลางพายุใหญ่
-
3)
-
พายุประชามติ
-
พายุรัฐธรรมนูญที่ก่อตัวชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ นั้น ยังพาพายุอีกลูกมาด้วยก็คือ "พายุประชามติ" ซึ่งผลจากท่าทีของฝ่ายต่างๆ ที่แสดงความเห็นต่อสาระในร่างรัฐธรรมนูญ อันจะนำไปสู่การลงประชามติในวันที่ 7 สิงหาคม 2559 นั้น เริ่มทำให้เกิดการคาดคะเนถึงชะตากรรมของร่างรัฐธรรมนูญนี้ว่าจะเกิดอาการ "แท้ง" เหมือนกับร่างฉบับก่อนหรือไม่
-
หลายฝ่ายเริ่มกังวลว่าในที่สุดแล้วการเมืองไทยอาจจะประสบปัญหาก่อนการลงประชามติ
-
หรือท่าทีของผู้นำรัฐบาลก็แสดงออกในลักษณะที่ไม่แตกต่างกัน จนทำให้นักวิเคราะห์เริ่มคิดถึงอนาคตของวันที่ 7 สิงหาคม ว่าจะเกิดขึ้นจริงได้เพียงใด
-
ขณะเดียวกันก็เริ่มเห็นถึงการแสดงออกจากกลุ่มผู้เห็นต่างมากขึ้น
-
เสียงวิพากษ์วิจารณ์รัฐธรรมนูญจากกลุ่มที่ไม่เห็นด้วย ดูจะดังขึ้นเรื่อยๆ และนักสังเกตการณ์แทบจะไม่ต้องวิเคราะห์ต่อเลยว่าถ้าพรรคการเมืองใหญ่สองพรรคมีความเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญนี้ร่วมกันแล้ว เกมประชามติที่จะนำไปสู่ชัยชนะจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
-
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสียงจากปีกปัญญาชน และกลุ่มเอ็นจีโอบางส่วนก็เริ่มชัดเจนขึ้นไม่แตกต่างกัน
-
ฉะนั้น จึงพอจะคาดการณ์ได้ไม่ยากนักว่าพายุประชามติจะยิ่งทำให้พายุรัฐธรรมนูญรุนแรงขึ้น
-
และลมพายุลูกนี้จะสร้างความเสียหายทางการเมืองกับรัฐนาวา คสช. อย่างใดหรือไม่
-
จึงเป็นประเด็นที่จะต้องติดตามดูกันต่อไปในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
-
4)
-
พายุสงฆ์
-
ในท่ามกลางพายุการเมือง พายุอีกลูกที่เริ่มพัดสู่สังคมไทยมาระยะหนึ่งแล้วก็คือ ลมพายุจากปัญหากรณีการแต่งตั้งพระสังฆราชองค์ใหม่ ปัญหานี้เห็นได้ชัดเจนมากขึ้นว่าไม่ใช่เป็นเรื่องของศาสนจักรอีกต่อไป
-
แต่ความน่ากังวลก็คือปัญหาดังกล่าวกำลังสะท้อนถึงความขัดแย้งระหว่างศาสนจักรกับอาณาจักรหรือไม่
-
ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว ความขัดแย้งชุดนี้จะจบลงอย่างไร
-
กรณีนี้ไม่ใช่เรื่องของการต่อสู้ในปัญหาตำแหน่งประมุขสงฆ์เท่านั้น หากแต่กำลังสะท้อนการชิงอำนาจทางการเมืองชุดใหญ่อีกชุดหนึ่งของสังคมไทยโดยมีกองทัพเป็นแนวหน้าของการสู้ และมีพื้นที่สงฆ์เป็นสนามรบ
-
ดังนั้น ในขณะที่ปัญหาการแต่งตั้งพระสังฆราชยังไม่สิ้นสุดนั้น สัญญาณจากปัญหาพระอีกเรื่องหนึ่งก็ตามมา ก็คือ มติสงฆ์จากจตุรทิศแห่งสวนแสงธรรมที่มีมติไม่ไว้วางใจต่อผู้นำรัฐบาล
-
อันเป็นผลจากการปิดสถานี "วิทยุธรรมะ" ของคณะสงฆ์ในสายของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน…
-
พายุลูกนี้ยังคงเป็นลมร้อนแรง และเป็นปัจจัยที่คาดคะเนได้ยาก
-
แต่ถ้าพายุนี้พัดแรงมากขึ้น ก็คงส่งผลต่อนาวาของรัฐบาลทหารอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอน
-
5)
-
พายุเศรษฐกิจ
-
ในท่ามกลางพายุลูกต่างๆ ที่พัดกระแทกรัฐนาวาของ คสช. อย่างต่อเนื่องนั้น พายุร้ายอีกลูกที่น่ากลัวก็คือพายุเศรษฐกิจ
-
พายุลูกนี้รุนแรงเสมอเพราะความอยู่ดีกินดีที่เกิดขึ้นจากสถานะทางเศรษฐกิจของประเทศนั้น เป็นปัจจัยสำคัญต่อการคงอยู่ของรัฐบาลทั่วโลก
-
แม้เศรษฐกิจจะไม่ใช่ปัจจัยโดยตรงที่จะทำให้คนลุกขึ้นมาโค่นล้มรัฐบาล ดังตัวแบบทางทฤษฎีของลัทธิมาร์กซ์ แต่ก็ละเลยไม่ได้ว่า รัฐบาลที่ไม่อาจสร้างให้ประชาชนมีสตางค์ในกระเป๋านั้นอยู่ได้ยาก
-
ไม่ว่ารัฐบาลจะใช้การโฆษณาทางการเมืองอย่างใดก็แล้วแต่ แต่สถานะทางเศรษฐกิจที่เป็นจริงในชีวิตของประชาชนคือคำตอบที่หลอกลวงไม่ได้
-
ดังนั้น ไม่ว่ารัฐบาลทหารจะใช้การโฆษณาทางการเมืองอย่างไรก็ตาม จะให้คนออกมาพูดว่าเศรษฐกิจไทยกำลังจะดีขึ้นอย่างไรก็ตาม
-
แต่เมื่อชีวิตจริงทางเศรษฐกิจของประชาชนสวนทางจากคำบอกเล่าเหล่านั้นโดยสิ้นเชิงแล้ว ความน่าเชื่อถือของรัฐบาลก็ลดลงเรื่อยๆ
-
จนถึงวันนี้คนไม่ค่อยเชื่อว่ารัฐบาลทหารตลอดรวมถึงบรรดา "มือเศรษฐกิจ" ที่ออกแสดงหน้าจอโทรทัศน์ จะเป็นความหวังของเศรษฐกิจไทยเท่าใดนัก
-
พร้อมกันนี้ก็มีสัญญาณเตือนถึงพายุเศรษฐกิจลูกใหญ่ที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากปัญหาเศรษฐกิจในเรื่องต่างๆ
-
นอกจากนี้ ยังมีสัญญาณบ่งบอกถึงภาวะ "เศรษฐกิจขาลง" ของไทยอย่างชัดเจน
-
ขณะเดียวกันก็คาดคะเนได้ยากว่าอาการนี้จะนำไปสู่ภาวะถดถอยอย่างรุนแรงหรือไม่ในอนาคตอันใกล้ พายุเศรษฐกิจลูกนี้อาจจะใหญ่และน่ากลัวมากกว่าที่คิด
-
6)
-
พายุแล้ง
-
ไม่มีใครเชื่อว่าความร้อนและความแห้งแล้งที่ทวีมากขึ้นนับจากหลังเทศกาลความสุขแห่งสงกรานต์นั้น เป็นผลที่เกิดจากการยึดอำนาจของรัฐบาลทหาร
-
แต่สิ่งที่ทุกคนจับตามองก็คือ รัฐบาลทหารจะบริหารประเทศในวิกฤตการณ์ภัยแล้งครั้งนี้อย่างไร และปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความแห้งแล้งที่กำลังขยายตัวเป็นวงกว้างนั้น กำลังก่อให้เกิดผลกระทบอย่างมากทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม
-
แน่นอนว่าต้นทุนของเกษตรกรไทยในยามนี้หนักขึ้นมาก เช่น กรณีของชาวสวนผลไม้ หรือขณะเดียวกันอนาคตของกสิกรไทยกับการทำนาก็แทบเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยาก
-
ปรากฏการณ์ความแห้งแล้งครั้งนี้กำลังพิสูจน์อีกครั้งว่า ชาวนาไทยทำนาได้ด้วยความกรุณาของฝนฟ้าที่มาตามฤดูกาล
-
แต่เมื่อไม่มีฝนและผิดฤดูกาลแล้ว ก็แทบจะไม่มีระบบอะไรรองรับเลย
-
พายุแห่งความแห้งแล้งครั้งนี้กระหน่ำสังคมไทยทั่วทุกส่วน
-
ไม่เพียงแต่ทำนาไม่ได้ ทำการเกษตรไม่ได้เท่านั้น แต่สิ่งที่รออยู่ข้างหน้าก็คือ ลูกหลานชาวนาชาวสวนจะเอาสตางค์ที่ไหนไปจ่ายค่าเทอม โรงเรียนกำลังจะเปิดปีการศึกษาใหม่ในกลางเดือนพฤษภาคมนี้
-
ขณะเดียวกันก็น่าสนใจว่าพายุลูกนี้จะสร้างความเสียหายทางการเมืองแก่รัฐนาวาทหารเพียงใด
-
หรือความแล้งเป็นชะตากรรมของชาวนาชาวสวนที่รัฐบาลไม่ต้องรับผิดชอบ
-
เพราะอย่างน้อยสนามกอล์ฟทั้งของพลเรือนและทหารก็ยังใช้น้ำรดหญ้าได้เป็นปกติ
-
7)
-
พายุเล็ก
-
ในท่ามกลางพายุใหญ่ที่กำลังก่อตัวขึ้นในสังคมไทยนั้น พายุลูกเล็กๆ ลูกหนึ่งก็แฝงตัวเข้ามา ลมพายุลูกนี้ไม่แรง แต่ก็กระแทกเข้าโดยตรงกับรัฐนาวาของ คสช.
-
พายุเล็กๆ ลูกนี้เกิดจากการบรรจุลูกหลานของผู้นำทหาร คสช. เข้ารับราชการในกระทรวงกลาโหม แน่นอนว่าไม่ใช่พายุใหญ่ แต่ก็ดูจะทำให้รัฐนาวา คสช. ต้องรีบแก้ปัญหาอย่างรวดเร็ว
-
ว่าที่จริงก็อาจจะเทียบเคียงได้กับพายุราชภักดิ์ แต่เป็นในขอบเขตที่เล็กกว่ามาก
-
ดังนั้น แม้พายุนี้จะไม่กระแทกแรงจนรัฐนาวา คสช. ต้องเสียศูนย์
-
แต่อย่างน้อยแรงกระแทกที่เกิดขึ้นก็ทำให้กัปตันเรือ คสช. ต้องรีบออกมาดู และพยายามปรับทิศทางรัฐนาวาลำนี้ให้ออกไปพ้นจากพายุลูกเล็กๆ นี้ให้ได้
-
เพราะแม้พายุลูกนี้จะลูกเล็ก แต่ก็อาจพัดรัฐนาวา คสช. ให้เกยตื้นได้ไม่ยากนัก
-
8)
-
พายุศรัทธา
-
ไม่ว่าพายุการเมืองจะเกิดกี่ลูกก็ตาม แต่พายุที่น่ากลัวที่สุดก็คือ พายุแห่งความไร้ศรัทธา ถ้าพายุลูกนี้พัดแรงขึ้น ก็ยิ่งบ่งบอกถึงอารมณ์และความรู้สึกของประชาชนต่อรัฐนาวา คสช.
-
ดังนั้น การแก้ปัญหาและการแสดงออกทางการเมืองของรัฐบาลจึงเป็นปัจจัยสำคัญในสถานการณ์ปัจจุบัน
-
แน่นอนว่าไม่มีใครคาดหวังว่ารัฐบาลทหารจะแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้
-
แต่รัฐบาลทหารที่ไม่อาจแสดงผลงานให้ประชาชนรู้สึกยอมรับได้แล้ว การคงอยู่ของรัฐบาลเช่นนี้จะกลายเป็น "วิกฤตศรัทธา" ในตัวเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ วิกฤตศรัทธาเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ที่ตั้งอยู่บนรากฐานอารมณ์ความรู้สึกของประชาชน ดังนั้นจึงไม่มีรัฐบาลใดดำรงอยู่ได้บนความไร้ศรัทธาของประชาชน
-
ท่ามกลางความอันตรายจากลมพายุทั้ง 8 ลูกนี้ สิ่งที่ไม่มีใครคาดเดาได้ก็คือ ปัญหาที่ก่อตัวมากขึ้นเรื่อยๆ อาจเปรียบเทียบได้กับ "ภูเขาน้ำแข็งใหญ่" ที่จมเรือเดินสมุทรได้ไม่ยากนัก
-
ส่วนรัฐนาวา คสช. จะกลายเป็น "เรือไททานิค" หรือไม่ ก็คงต้องติดตามกันต่อไป…
-
และใครจะเป็น "แจ็กกับโรส" ยืนหน้าหัวเรือลำนี้ คงต้องยกให้ท่านผู้อ่านจินตนาการกันเอาเองครับ!

-
Cr. สุรชาติ บำรุงสุข
ที่มา ยุทธบทความ, มติชนสุดสัปดาห์


ผู้แทนรัฐสภายุโรป ย้ำ ทรราช คสช.ต้องเปิดให้อภิปรายร่างรัฐธรรมนูญอย่างเสรี

Free discussion vital for referendum: EU delegation

Submitted by editor4 on Thu, 19/05/2016 - 13:13

The EU Delegation has urged the junta to allow free discussion on the draft charter, saying that free discussion is a prerequisite for political reconciliation. 

Werner Langen, chairman of EU Delegation for relations with the countries of Southeast Asia and the ASEAN, said that EU delegation was concerned by the junta's laws that criminalize the criticism against the charter draft, saying that political reconciliation cannot happen if the junta does not listen to everyone's voices, BBC Thai reported on Wednesday, 18 May 2015. 

According to BBC Thai, Langen said this during the meeting between him, accompanied by eight EU Commissioners of Human Rights, and Panya Phunsap, the Deputy Permanent Secretariat of Foreign Ministry, on Tuesday. 

Langen added that EU delegation was also concerned that the junta might prolong its power and create a climate of intimidation because the military tend to intervene in Thai politics whenever a conflict happens in the country.

However, Langen said that EU Delegation was optimistic on the future of Thailand, and hoped that Thailand will eventually return to democracy so that the negotiation process of the Thailand-EU Free Trade Agreement, which has been frozen since the 2014 coup, could be continued, reported BBC Thai.

Cr.Prachatai



ผู้แทนรัฐสภายุโรป ย้ำ ทรราช คสช.ต้องเปิดให้อภิปรายร่างรัฐธรรมนูญอย่างเสรี

Free discussion vital for referendum: EU delegation

Submitted by editor4 on Thu, 19/05/2016 - 13:13

The EU Delegation has urged the junta to allow free discussion on the draft charter, saying that free discussion is a prerequisite for political reconciliation. 

Werner Langen, chairman of EU Delegation for relations with the countries of Southeast Asia and the ASEAN, said that EU delegation was concerned by the junta's laws that criminalize the criticism against the charter draft, saying that political reconciliation cannot happen if the junta does not listen to everyone's voices, BBC Thai reported on Wednesday, 18 May 2015. 

According to BBC Thai, Langen said this during the meeting between him, accompanied by eight EU Commissioners of Human Rights, and Panya Phunsap, the Deputy Permanent Secretariat of Foreign Ministry, on Tuesday. 

Langen added that EU delegation was also concerned that the junta might prolong its power and create a climate of intimidation because the military tend to intervene in Thai politics whenever a conflict happens in the country.

However, Langen said that EU Delegation was optimistic on the future of Thailand, and hoped that Thailand will eventually return to democracy so that the negotiation process of the Thailand-EU Free Trade Agreement, which has been frozen since the 2014 coup, could be continued, reported BBC Thai.

Cr.Prachatai



DSI.. สุนัขรับใช้ ทรราช คสช. "สับปลับ"

DSI.. สุนัขรับใช้ ทรราช คสช. "สับปลับ"

---------------------------------------------------------------------------------

แหล่งข่าวจากกรมสอบสวนคดีพิเศษเปิดเผยว่า จะใช้วิธีละมุ่นละม่อมกับพระธัมมชโย โดยให้โอกาสเดินทางมาพบพนักงานสอบสวนก่อน เพราะเราไม่อยากทำอะไรรุนแรง ดังนั้นเพื่อจะได้ไม่มีใครบาดเจ็บล้มตาย เพราะลูกศิษย์พระธัมมชโยมีจำนวนมาก ถ้าหากดีเอสไอนำกำลังเข้าจับกุม จึงขอให้พระธัมมชโยมามอบตัวกับดีเอสไอแต่โดยดี

-
"เราขอพูดกันภาษาดอกไม้ก่อน จะได้ไม่มีคนบาดเจ็บ และยินดีจะปล่อยตัวชั่วคราวตามกฎหมาย ขณะนี้ดีเอสไอมีกำลังอยู่ 1,000 นาย และจะยังไม่ขอกำลังเสริมจากตำรวจ ถ้าภายใน 7 วัน พระธัมมชโยยังไม่มามอบตัว เราจะใช้วิธีเข้มข้นมากขึ้นไปเรื่อยๆ" แหล่งข่าวระบุ และว่า เมื่อครบกำหนด 7 วัน เราคาดว่าอาจจะขอหมายค้นไปค้นที่วัด โดยจะใช้รถถังหุ้มเกาะของดีเอสไอ เพื่อผ่าลูกศิษย์พระธัมมชโยเข้าค้นหาพยานหลักฐานในวัดเพิ่มเติมด้วย พร้อมกับจับกุมตัวพระธัมมชโยที่วัดด้วย

-
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาเราก็มีหลักฐานเพียงพออยู่แล้ว ไม่แน่ถ้าครบ 7 วันแล้ว สถานการณ์อาจเปลี่ยนไป รอดูก่อนว่าพระธัมมชโยจะมาตามนัดหรือไม่ แต่ถ้าครบ 7 วันแล้วดีเอสไอจับพระธัมมชโยไม่ได้ เราคงจะคิดวิธีจับกุมออกมาจะทำยังไงต่อไป สัปดาห์หน้าคงคิดออก ฝากการบ้านให้สื่อไปคิดช่วยดีเอสไอด้วยว่าอยากให้ดีเอสไอดำเนินการจับกุมพระธัมมชโยด้วยวิธีใดแล้วก็ให้มาเสนอดีเอสไอ เราอาจจะนำไปพิจารณา

-
วันเดียวกันที่สำนักสื่อสารองค์กรภายในวัดพระธรรมกาย นายองอาจ ธรรมนิทา โฆษกคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย แถลงยืนยันว่าพระธัมมชโยไม่มีความผิด และจะแจ้งความดำเนินคดีผู้เกี่ยวข้องกับคดีนี้ทุกคนที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อมิให้เจ้าพนักงานลุแก่อำนาจ ปฏิบัติหน้าที่ตามอำเภอใจ เป็นการสร้างมาตรฐานความถูกต้องชอบธรรมทางกฎหมายให้เกิดขึ้นแก่สังคมต่อไป

-
นายองอาจตั้งคำถามว่า ดีเอสไอรู้ได้อย่างไรว่าหลวงพ่ออาพาธจริงหรือไม่ ดีเอสไออ้างว่า เมื่อวันที่ 22 เมษายน ท่านยังร่วมพิธีได้ แต่ในใบรับรองแพทย์ก็ระบุชัดว่าท่านมีอาการป่วยเฉียบพลัน เหตุผลของดีเอสไอฟังไม่ขึ้น สุดท้ายศาลก็สั่งไม่อนุญาตออกหมายจับ ทำไมดีเอสไอจึงเข้มงวดกับพระผู้ใหญ่ที่ทำความดีตลอดชีวิตอย่างนี้ ท่านอาพาธอยู่ที่วัดตลอดทั้งปีไม่เคยออกจากวัดเลยแม้แต่ก้าวเดียว มาพบท่านที่วัดได้ทุกเมื่อ ทำไมต้องออกหมายจับ ท่านป่วยเป็นเส้นเลือดดำใหญ่ที่ขาซ้ายอุดตัน ขาข้างซ้ายใหญ่กว่าขาข้างขวา 2 เท่าตัว เป็นเบาหวานมีแผลเรื้อรัง และเป็นโรคภูมิแพ้รุนแรง ดีเอสไอก็เคยเห็นกับตาตัวเอง เมื่อมาพบท่านที่วัดคราวก่อนแล้ว ทำไมจึงมาพบท่านที่วัดไม่ได้

-
"ทำไมพนักงานสอบสวนดีเอสไอจึงเปลี่ยนคำพูด ตอนแรกบอกว่าให้เลื่อน แล้วกลับเปลี่ยนเป็นไม่ให้เลื่อน แต่ขอออกหมายจับศิษยานุศิษย์ของพระเทพญาณมหามุนี หลายล้านคนทั่วโลกสะเทือนใจมาก" นายองอาจกล่าว

-
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจเฟซบุ๊ก "DMC.tv - Dhamma Media Channel" ได้เชิญชวนเหล่าบรรดาผู้ศรัทธาให้พร้อมใจกันเปลี่ยนภาพโปรไฟล์ในเฟซบุ๊กเป็นภาพที่มีข้อความว่า "เราเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของหลวงพ่อธัมมชโย"




DSI.. สุนัขรับใช้ ทรราช คสช. "สับปลับ"

DSI.. สุนัขรับใช้ ทรราช คสช. "สับปลับ"

---------------------------------------------------------------------------------

แหล่งข่าวจากกรมสอบสวนคดีพิเศษเปิดเผยว่า จะใช้วิธีละมุ่นละม่อมกับพระธัมมชโย โดยให้โอกาสเดินทางมาพบพนักงานสอบสวนก่อน เพราะเราไม่อยากทำอะไรรุนแรง ดังนั้นเพื่อจะได้ไม่มีใครบาดเจ็บล้มตาย เพราะลูกศิษย์พระธัมมชโยมีจำนวนมาก ถ้าหากดีเอสไอนำกำลังเข้าจับกุม จึงขอให้พระธัมมชโยมามอบตัวกับดีเอสไอแต่โดยดี

-
"เราขอพูดกันภาษาดอกไม้ก่อน จะได้ไม่มีคนบาดเจ็บ และยินดีจะปล่อยตัวชั่วคราวตามกฎหมาย ขณะนี้ดีเอสไอมีกำลังอยู่ 1,000 นาย และจะยังไม่ขอกำลังเสริมจากตำรวจ ถ้าภายใน 7 วัน พระธัมมชโยยังไม่มามอบตัว เราจะใช้วิธีเข้มข้นมากขึ้นไปเรื่อยๆ" แหล่งข่าวระบุ และว่า เมื่อครบกำหนด 7 วัน เราคาดว่าอาจจะขอหมายค้นไปค้นที่วัด โดยจะใช้รถถังหุ้มเกาะของดีเอสไอ เพื่อผ่าลูกศิษย์พระธัมมชโยเข้าค้นหาพยานหลักฐานในวัดเพิ่มเติมด้วย พร้อมกับจับกุมตัวพระธัมมชโยที่วัดด้วย

-
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาเราก็มีหลักฐานเพียงพออยู่แล้ว ไม่แน่ถ้าครบ 7 วันแล้ว สถานการณ์อาจเปลี่ยนไป รอดูก่อนว่าพระธัมมชโยจะมาตามนัดหรือไม่ แต่ถ้าครบ 7 วันแล้วดีเอสไอจับพระธัมมชโยไม่ได้ เราคงจะคิดวิธีจับกุมออกมาจะทำยังไงต่อไป สัปดาห์หน้าคงคิดออก ฝากการบ้านให้สื่อไปคิดช่วยดีเอสไอด้วยว่าอยากให้ดีเอสไอดำเนินการจับกุมพระธัมมชโยด้วยวิธีใดแล้วก็ให้มาเสนอดีเอสไอ เราอาจจะนำไปพิจารณา

-
วันเดียวกันที่สำนักสื่อสารองค์กรภายในวัดพระธรรมกาย นายองอาจ ธรรมนิทา โฆษกคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย แถลงยืนยันว่าพระธัมมชโยไม่มีความผิด และจะแจ้งความดำเนินคดีผู้เกี่ยวข้องกับคดีนี้ทุกคนที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อมิให้เจ้าพนักงานลุแก่อำนาจ ปฏิบัติหน้าที่ตามอำเภอใจ เป็นการสร้างมาตรฐานความถูกต้องชอบธรรมทางกฎหมายให้เกิดขึ้นแก่สังคมต่อไป

-
นายองอาจตั้งคำถามว่า ดีเอสไอรู้ได้อย่างไรว่าหลวงพ่ออาพาธจริงหรือไม่ ดีเอสไออ้างว่า เมื่อวันที่ 22 เมษายน ท่านยังร่วมพิธีได้ แต่ในใบรับรองแพทย์ก็ระบุชัดว่าท่านมีอาการป่วยเฉียบพลัน เหตุผลของดีเอสไอฟังไม่ขึ้น สุดท้ายศาลก็สั่งไม่อนุญาตออกหมายจับ ทำไมดีเอสไอจึงเข้มงวดกับพระผู้ใหญ่ที่ทำความดีตลอดชีวิตอย่างนี้ ท่านอาพาธอยู่ที่วัดตลอดทั้งปีไม่เคยออกจากวัดเลยแม้แต่ก้าวเดียว มาพบท่านที่วัดได้ทุกเมื่อ ทำไมต้องออกหมายจับ ท่านป่วยเป็นเส้นเลือดดำใหญ่ที่ขาซ้ายอุดตัน ขาข้างซ้ายใหญ่กว่าขาข้างขวา 2 เท่าตัว เป็นเบาหวานมีแผลเรื้อรัง และเป็นโรคภูมิแพ้รุนแรง ดีเอสไอก็เคยเห็นกับตาตัวเอง เมื่อมาพบท่านที่วัดคราวก่อนแล้ว ทำไมจึงมาพบท่านที่วัดไม่ได้

-
"ทำไมพนักงานสอบสวนดีเอสไอจึงเปลี่ยนคำพูด ตอนแรกบอกว่าให้เลื่อน แล้วกลับเปลี่ยนเป็นไม่ให้เลื่อน แต่ขอออกหมายจับศิษยานุศิษย์ของพระเทพญาณมหามุนี หลายล้านคนทั่วโลกสะเทือนใจมาก" นายองอาจกล่าว

-
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจเฟซบุ๊ก "DMC.tv - Dhamma Media Channel" ได้เชิญชวนเหล่าบรรดาผู้ศรัทธาให้พร้อมใจกันเปลี่ยนภาพโปรไฟล์ในเฟซบุ๊กเป็นภาพที่มีข้อความว่า "เราเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของหลวงพ่อธัมมชโย"




พี่น้องทุกท่าน ครับ .............. เรามารู้จักวัดธรรมกายกันเถอะ

พี่น้องทุกท่าน ครับ .............. เรามารู้จักวัดธรรมกายกันเถอะ
-
ผมไปอ่านเจอบทความนี้ ซึ่ง อธิบายแบบง่ายๆ ของความหมายหลวงพ่อธัมมชโย ว่าท่านคือใคร..............และทำไมถึงต้องเป็น วัดธรรมกาย
-
เสียเวลา อ่านสัก 10 นาที เพื่อ อนาคตของ พระพุทธศาสนาที่จะต้องดำรงอยู่คู่ประเทศไทย หรือ จะปล่อยให้ มารศาสนา ของเหล่า ทรราช คสช. เข้ายึดครอง และโจมตี เหมือนอย่างทุกวันนี้
-
เสรีชน
-------------------------------------------------------------------------------


กรณีธรรมกาย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย !! ข้อกล่าวหาหลวงพ่อธัมมชโย
-
ถึงเวลาที่เพจเรารักวัดพระธรรมกายต้องออกมาแฉธรรมกายแล้ว!!!!
-
#คนที่อ่านคงจะมีคนที่รักวัดพระธรรมกายอยู่แล้วและคนที่กำลังงงสับสนหรือบางคนอาจจะแอนตี้ก็มีที่เข้ามาเยี่ยมเพจนี้
-
เรื่องราวต่อไปนี้เป็นเรื่องราวที่อาจทำร้ายจิตใจของคนที่วัดพระธรรมกายบ้างก็ต้องขออภัยด้วย ที่ต้องนำมาเปิดเผย (ขอย้ำว่า ‪#‎ถ้ารักวัดพระธรรมกายอยู่แล้ว‬ ‪#‎ไม่ควรอ่าน‬ เพราะอาจทำให้อารมณ์ของท่านที่เคยรักวัดพระธรรมกายดีอยู่แล้วอาจเปลี่ยนไป เมื่อได้อ่านเรื่องนี้ ... ขอเตือนอีกครั้งไม่ควรอ่าน...เตือนแล้วนะ....เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน)
-
สำหรับคนที่กำลังศึกษาวัดอยู่หรือแอนตี้อยู่แล้วก็แล้วแต่ท่านว่าจะอ่านหรือไม่ คงอาจจะไม่เคยเห็นเพจที่คิดว่ารักวัดพระธรรมกายต้องออกมาแฉวัดซะเอง...
พร้อมกันแล้วใช่ไหมครับ....
....
ก็อ่านกันได้เลย
-
หลายท่านก็คงเคยได้ยินเรื่องราวข่าวคราวของวัดพระธรรมกายมาบ้างพอสมควรแล้ว ลองมาดูเรื่องราวที่นักข่าวกลุ่มหนึ่งได้แอบไปเจาะข้อมูลและเข้ามาศึกษาในวัดพระธรรมกายดูแล้วจะได้รู้อะไรเกี่ยวกับวัดพระธรรมกายอีกเยอะเลย
-
วัดพระธรรมกายในทัศนะของนักข่าวผู้ไปเจาะลึก! (และไม่ประสงค์ออกนาม) พร้อมข้อมูลพื้นฐานสำหรับนักวิจารณ์มือใหม่+*
-
เวลา นักข่าวจะไปสัมภาษณ์ใคร แน่นอนว่าต้องทำการบ้านมากพอสมควร ไม่เช่นนั้นเวลาไปถามแหล่งข่าวเข้า เค้าจะจับได้ว่าเรารู้ไม่จริง แสดงถึงความไม่มืออาชีพ แถวบ้านเรียก "โป๊ะ" จนนำมาสู่การ "เงิบ"
เช่น กัน ถ้าจะวิพากษ์วิจารณ์วัดพระธรรมกาย ต้องเข้าใจหลักศาสนาพุทธอยู่พอสมควร และต้องทราบไว้เบื้องต้นว่า ประเทศไทยไม่ใช่แหล่งกำเนิดศาสนาพุทธ และหลักพุทธแท้ๆเพียวๆ100% นักประวัติศาสตร์ หรือนักโบราณคดีจะรู้ดี ว่าพุทธศาสนาในไทยก็ไม่ใช่แก่นไม่ใช่ศูนย์กลางของโลก เวลาจะไปดีเบทกับศิษย์วัดพระธรรมกาย ก็อย่าเพิ่งเอาพุทธธรรมเนียมปฏิบัติแบบไทยไปเปรียบเทียบกับแนวคำสอนหรือสิ่ง ก่อสร้างของวัดนี้ ต้องตระหนักว่าศิษย์วัดนี้มีทุกระดับ ความรู้แน่นๆทั้งนั้น ล่าสุดเห็นมีโครงการไปขุดค้นคัมภีร์พุทธโบราณ แถวเส้นทางสายไหม แถวๆอัฟกานิสถาน เห็นว่าเก่ากว่าคัมภีร์ที่เรารู้จักกันอีก
-
ฉะนั้น เวลาที่เห็นชาวพันทิบหรือเว็บบอร์ดต่างๆ โพสต์ภาพตัดต่อบิดเบือนข้อความ "ค้อนมหาสมบัติ ค่าเช่าด้ามละหมื่นละแสน" เรื่องรูปทรงเจดีย์ รูปทรงศาสนสถานในวัด จึงค่อนข้างเสียเวลา คนที่จะวิจารณ์ ต้องรู้จักพัฒนา content ใหม่ๆมาดีเบทบ้าง เห็นเถียงกันมาเป็น10กว่าปีแล้ว และคิดว่าอีก10ปีต่อไปคงเถียงประเด็นเดิมๆ ชาวแฟนคลับวัดพระธรรมกายทุกวันนี้ถึงกับรวบรวมข้อโจมตี พร้อมคำตอบออกมาท่องก็หลายเล่มแล้ว ดังนั้น จะโพสต์ภาพด่าวัดนี้ เช็คหรือยังว่าตัดต่อหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าจะก๊อบต่อๆกันมา ก่อนจะแซวเค้าว่า "แกรๆ ได้ข่าวว่าวัดแกรใช้บัตรเครดิตทำบุญแบบรูดปรื้ดๆ" เดียวคงโดนเค้าสวนกลับมาว่า "ดูชัดๆสิคะ นี่บัตรเดบิตค่ะ สาธุค่ะ" หรือถ้าจะต่อว่ารูปทรงเจดีย์ เดี๋ยวชาววัดนี้ได้ยกหลักเจดีย์วิทยามาอธิบาย พร้อมภาพประกอบสาญจิเจดีย์ รูปทรงโดมจากอินเดีย หรือไม่ เค้าอาจอธิบายหลัก "รูปทรงประหยัดสุดประโยชน์สูง" ตั้งอยู่กลางลานธรรมมองเห็นทุกด้าน หรือเค้าอาจจะสวนกลับมาว่า "จำไม่ได้หรอ ว่าเมรุชั่วคราวเผาศพเกจิวัดป่าชื่อดังที่อุดรธานี ก็รูปทรงแบบที่ยูว์เรียกกว่าจานบินนี้แหละ" เดี๋ยวเงิบแล้วจะหาว่าไม่เตือน
-
เอา ล่ะ! ข้อควรรู้อย่างแรกเลย วัดนี้ชื่อ "วัดพระธรรมกาย" ไม่ใช่ "วัดธรรมกาย" วัดธรรมกายไม่มีในสารบบ ถ้าจะเรียกพระลูกวัดนี้ต้องเรียก "พระวัดพระธรรมกาย" ที่สำคัญเจ้าอาวาสฉายา "ธัมมชโย"( อ่านว่า ทำ-มะ-ชะ-โย) แหม่ มิน่าล่ะ ที่วัดพระธรรมกายไม่สะทกสะท้านอะไร ก็เพราะเรียกชื่อไม่ถูกนี่เอง ฮาๆ ส่วนถ้าใครเรียกถูกก็อนุโมทนา
-
ต่อ มา วัดนี้ ทั้งตามกฎหมายทางโลก และกฎหมายของสงฆ์ เป็นวัด "เถรวาท" ในพระพุทธศาสนา สังกัดมหานิกาย เหมือนวัดส่วนใหญ่ในประเทศไทย พระที่นี่ถือศีล 227 ข้อเหมือนพระที่อื่น มีงานวิจัยเกี่ยวกับคำสอนวัดนี้พบว่า "สอดคล้องกับหลักธรรมในคัมภีร์พุทธเถรวาท" ก็เป็นหน้าที่ของเราแล้วล่ะที่จะยกพระไตรปิฎกมาโต้แย้ง
-
แต่ๆๆช้าก่อน วัดนี้ยังมีทีเด็ดตรงนี้มีพระ ปธ.9 มากที่สุดในประเทศ พระมหา พระดร.ก็เยอะด้วย จะเถียงเรื่องพระไตรปิฎก เรื่องคำสอนพุทธศาสนาต้องทำการบ้านเยอะๆ รับรองชนะแน่นอน ฟันธง! และต้องระวังคำพูดยอดฮิตของชาววัดนี้ที่ว่า "ถ้าวัดนี้สอนผิดๆ ทำไมการสอบบาลี สอบเปรียญธรรมซึ่งเป็นหลักสูตรกลางทั้งประเทศ วัดนี้ถึงสอบผ่านเยอะสุดล่ะ ถ้าสอนผิดก็สอบตกสิ" อันนี้ก็แล้วแต่ว่าใครจะโต้คืนยังไงนะ
-
ส่วนใครจะเห็นว่า "วัดนี้ ชั้นว่า ไม่ใช่วัด ชั้นมองว่าคนห่มเหลืองเหล่านี้ไม่ใช่พระ" ก็แล้วแต่ว่าท่านจะหาพยานหลักฐานหรือข้อมูลมาโต้แย้งเอา ขอเป็นประเด็นเด็ดๆให้ถึงหูคณะผู้ปกครองคณะสงฆ์ไทยอย่างมหาเถรสมาคม ให้ตัดขาด บอยคอตวัดพระธรรมกายไปเล้ยย! แต่พอวันเกิดเจ้าอาวาสทีไร ผมก็ยังเห็นมหาเถรสมาคมมาวัดนี้กันพรึ่บ แถมมีพระเกือบแสนๆมาพร้อมกันในวันนั้นด้วย จะว่าจ้างมาก็ไม่ใช่ ไม่คุ้มค่ารถ ผมลงพื้นที่สัมภาษณ์มาหลายหนแล้ว ตรงนี้ต้องเป็นการบ้านหนักหน่อยว่า "หากวัดนี้ถือเป็นลัทธิหนึ่งที่ไม่ใช่พุทธ" ภาพแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น! ..อยากเห็นภาพใช่มั้ยว่าเป็นไง google เลยลูก! พวกเราถนัดอยู่แล้วหาข้อมูลจากgoogleน่ะ จัดไป ใช้คำว่า "22เมษาวันคุ้มครองโลก"นะ
-
อ้อ!เกือบลืมบอก เป็นเกร็ดเล็กๆน้อย ว่าจะเอาไว้ตอนท้าย แต่กลัวพิมพ์เพลินจนลืม แบบว่าข้อมูลเยอะ ใช้เวลาศึกษาข้อมูลอยู่นานพอควร
-
เช่น - สมัยเด็ก ใครเคยอ่านมงคลชีวิต38ประการ แล้วทางโรงเรียนก็จะให้สอบธรรมะทางก้าวหน้า นั่นแหละยูว์ เสียท่าวัดพระธรรมกายเข้าแล้วล่ะ วัดนี้เค้าทุ่มทุนเผยแผ่ธรรมะ แว่วๆมาว่าสำหรับโครงการนี้ปีละ 30 ล้าน อุตะ! ให้เด็กสอบปีละ5ล้านคน เอาเงินมาจากไหนกันเยอะแยะ
-
คำว่า "สาาาธุ" "เอาบุญมาฝาก" "อนุโมทนาบุญครับ/ค่ะ" ที่แพร่หลายออกมาจากเหล่าลูกศิษย์วัดพระธรรมกาย หรือที่เราเรียกว่า "สาวกธรรมกาย" นี่แหละ แถมยังเผยแพร่แนวคิดนุ่งขาวห่มขาวแบบจริงจังเข้าวัดอีก สมัยก่อนไม่ค่อยมีหรอก เจ้าอาวาสกับรองเจ้าอาวาสนี่แหละต้นคิด พวกเรารู้ไว้ด้วย
-
- "บวชภาคฤดูร้อน" "ธรรมทายาท" นี่เลย วัดนี้เลย ต้นตำรับ มาจากรองเจ้าอาวาสเลย จนโน้ต อุดม ติดใจวัดนี้ ได้ดิบได้ดีจากเด็กเซาะกราวกลายเป็นเซเลปก็จากบวชที่นี่แหละ
-
-ป้าย "วันนี้วันพระ" "พรุ่งนี้วันพระ" ตามร้านขายพวงมาลัยในกรุงเทพฯน่ะ ส่วนใหญ่มีแต่ป้ายจากวัดพระธรรมกาย ลองสังเกตสิ
-
-น้ำท่วมใหญ่ปี2554 กระสอบบิ๊กแบ๊ค กับแผงเหล็กกั้นถนนช่วงคลองหลวง ชื่อ "วัดพระธรรมกาย" พ่นหราเลยจ้า แถมยังมีถุงยังชีพอีก
-
เอา ล่ะ พอก่อน จำไม่หมด เรื่องเล็กๆน้อยๆเอาไว้ก่อน มาถึงตอนนี้ผู้คนสงสัยว่า โอเค วัดนี้ด้านดีๆก็มีบ้าง แต่ทำไมถึงไม่เป็นข่าว นี่จะบอกให้ ดูหน้า1หนังสือพิมพ์สิ ลงข่าวดี ลงข่าวโลกสวยซะที่ไหน มันไม่มีองค์ประกอบของข่าว หรือคุณค่าความเป็นข่าวไงครับ เช่น ต้องเป็นบุคคลสำคัญ ความแปลกประหลาด การค้นพบวิทยาการอะไรใหม่ๆ เรื่องที่มีความใกล้ชิดกับเราหรือมีผลกระทบกับเรา เป็นต้น กิจกรรมประเภทCSR หรือPR หน่วยงานต่างๆส่วนใหญ่จะเสียตังค์ซื้อพื้นที่สื่อเอง ส่วนข่าวดราม่าๆตามกระแสสังคม โดยเฉพาะคนกรุงฯและชาวโซเชี่ยล แบบนี้แหละ สำนักข่าวชอบ
-
เหมือนดาราสักคน บางคนอาจจะดี แต่ภาพลักษณ์ผ่านสื่ออาจดูเลว ส่วนบางคนเลว แต่สร้างภาพผ่านสื่อว่าดี มันขึ้นอยู่กับตัวเราแล้วแหละ ว่าจะมีวิจารณญาณขนาดไหน
-
โดยเฉพาะล่า สุด ธุดงค์ธรรมชัย ของวัดนี้แน่นอนว่าสำนักข่าวต่างๆจ้องเล่นข่าวอยู่แล้ว ตามหลักทฤษฎี เข้าหลายข้อเลยแหละ และยิ่งบอกว่าทำให้รถติดด้วยนะ ยิ่งแจ่มเลย ขนาดฝนตกแล้วรถติดยังด่าฝนเลยจ้าาา ฉะนั้น ชาววัดพระธรรมกายอย่าน้อยใจ นี่คือโลกของความเป็นจริง ท่องเอาไว้เลยว่า "ข่าวร้ายลงฟรี ข่าวดีเสียตังค์" แม้ว่าคุณจะแถลงข่าวเปิดตัวโครงการ ประชาสัมพันธ์ล่วงหน้า ยกหลักพระไตรปิฎกมาบอกว่าเป็นการธุดงค์ตามพระธรรมวินัยทุกประการก็ตาม เดินบนไหล่ทาง ก็จะโดนด่า คนเขาไม่สนใจว่าคุณเดินตามเส้นทางวัดสำคัญๆที่หลวงปู่สด วัดปากน้ำเคยผ่าน เขาก็จะไล่คุณไปเดินเข้าป่านู่น แม้วัดคุณจะมีโครงการเดินธุดงค์ธรรมชัยพัฒนาวัดร้างให้เป็นวัดรุ่ง เดินตามชนบทมาทั่วประเทศแล้วก็ตาม เขาก็ยังจะไล่คุณไปเดินแถว3-4จังหวัดภาคใต้ ซึ่งแม้ว่าทางวัดคุณจะมีกิจกรรมถวายสังฆทานยก4จังหวัดทุกเดือนที่ใต้ก็ตาม ต้องทำใจ พฤติกรรมการเสพสื่อสมัยใหม่เป็นไปตามกระแสเช่นนี้ จึงต้องรู้ให้เท่าทัน และต้องให้ถูกจริตคนกรุง+เด็กเกรียนคีย์บอร์ดทั้งหลาย
-
อีก ประเด็นยอดฮิต หลายคนบอกว่า วัดพระธรรมกายรวยก็รวย ทำไมไม่ให้ทุนการศึกษา ที่จริงมีเยอะครับ เยอะมาก เช่นโครงการวีสตาร์ แว่วๆว่าแต่ละปีวัดทุ่มให้กับทุนการศึกษานักเรียนกว่าร้อยล้าน บริจาคโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ เปิดคลีนิครักษาฟรี ยังไม่รวมงานสังคมสงเคราะห์ของลูกศิษย์ตัวบิ๊กๆ..แน่นอน ไม่เป็นข่าว
-
เพราะ อะไร ส่วนหนึ่งอาจมาจาก เหมือนสำนักข่าวก็ไม่อยากpr ให้วัดนั่นแหละ กลัวถูกครหาว่าเป็นสาวก เพราะขนาดลูกศิษย์ลูกหาแท้ๆ ยังไม่กล้าเปิดเผยตัวต่อสาธารณะ ทั้งๆที่มีอยู่ทุกวงการ กลัวถูกสังคมรังเกียจ ข่าวว่าแต่ละวันแต่ละเดือน ก็จะคอยภาวนาว่า "วัดชั้นจะถูกพันทิบกับสำนักข่าวขุดขึ้นมาด่าอีกไหมหนอ" ชนชายขอบเหล่านี้ ยอมรับว่าน่าเห็นใจ ก็กลัวๆอยู่ว่าวันดีคืนดีเค้าจะลุกขึ้นมาเอามีดปาดคอหรือทำระเบิดพลีชีพใส่ พวกด่าวัดพระธรรมกาย อย่างกลุ่มไอเอสรึเปล่า แต่ทางวัดก็คงไม่สอนแบบนี้หรอก สบายใจได้
-
อีกอันเรื่องการบริจาค วัดนี้ จากการวิจัย ไม่ได้เน้นเรื่องทำทานนะครับ เน้น "ภาวนา" หรือนั่งสมาธิเป็นหลัก ใครเคยไปจะรู้ว่านั่งจนตาตุ่มด้าน นั่งจนจะไปนิพพาน จะไปที่สุดแห่งธรรม นี่คือแก่นคำสอนของวัดเลย เราต้องเข้าใจใหม่เวลาจะวิจารณ์เค้า ไม่ใช่อยู่ก็เปิดหน้าว่า "สอนผิดๆสอนทำบุญเยอะๆ" แค่นี้ก็พูดกันคนละภาษาแล้ว ผมเชื่อว่าคนวัดพระธรรมกายคุยได้ แม้บางครั้งเราจะไม่เข้าใจ เพราะอุดมการณ์สูงสุดในชีวิตแต่ละคนไม่เหมือนกัน การให้ค่าต่อสิ่งหนึ่งๆจึงไม่เหมือนกัน เราอย่าเพิ่งเอามาตรฐานตัวเราไปเปรียบเทียบ ขอเตือน เดี๋ยวเงิบ
-
ส่วน เรื่องศีล ชาววัดพระธรรมกาย ถือศีล5 เป็นปกติ เพื่อนผมที่เป็นชาววัดบางคนถือศีล8เลยจ้า ถ้าใครมีเพื่อนเข้าวัดนี้ สังเกตง่ายๆว่าจะไม่ดื่มเหล้าสูบุหรี่ วันอาทิตย์ก็เข้าวัดตลอด ไม่รู้ว่าล้างสมองกันยังไง
-
กลับมาเรื่องบริจาค มีทั้งคนทำน้อยทำมาก ไม่บังคับ และที่สำคัญ อันนี้ขีดเส้นใต้8ล้านที "วัดนี้ไม่เคยสอนว่าต้องทำบุญมากๆถึงจะได้บุญมาก" และไม่เคยสอนว่าเอาเงินซื้อสวรรค์ซื้อนิพพานได้ วัดสอนตามหลักพุทธทุกอย่าง คือ บุญกริยาวัตถุ10 เรื่องเชียร์ทำบุญกันก็เป็นกุศโลบายกำจัดความตระหนี่จากใจ สละโลภ อย่างบุคคลในสมัยพุทธกาล อันนี้ทางวัดจะย้ำ โดยเฉพาะดำเนินตามรอยนิสัยพระพุทธเจ้าตอนเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ ที่แบบว่า ยอมตายได้เพื่อสร้างบารมีทั้ง10ทัศ
-
เท่าที่สังเกต วัดนี้คนปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง มีเป้าหมายคือ "เข้าถึงวิชชาธรรมกาย" ไม่เชื่อถามดู ไม่ได้มาวัดเพื่อบริจาคแล้วหวังรวย พวกเราจำใส่หัวกันใหม่นะ อีกอย่าง ชาววัดนี้ ไม่ได้หวังอยู่แค่สวรรค์ แต่หวังนิพพาน และไกลกว่านิพพานเฉพาะตัวเอง คือใช้คำว่า "รื้อสัตว์ขนสัตว์เข้านิพพานให้หมด" ด้วยการชวนคนทั้งโลกมาปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิให้เข้าถึงวิชชาธรรมกาย เท่ากับการบรรลุธรรมในพระพุทธศาสนาชั้นเบื้องต้น จนลุ่มลึกเข้าไป
-
สรุป ง่ายๆคือ หมู่คณะวัดพระธรรมกาย ปฏิญาณตนสั่งสมบารมีไปเรื่อยๆ เติมเต็มไปทุกชาติ จนกว่าจะเข้านิพพาน เมื่อรู้ว่าระหว่างภพชาติที่ยังไปไม่ถึงก็สร้างบุญเป็นเสบียงให้เกิดมามี พร้อม อันนี้คือความคิดของคนวัดนี้ ก็น่าคิดเล่นๆนะว่า มิน่าล่ะถึงมีแต่เศรษฐี
-
อย่าลืมว่าแนวทางคำสอนอย่างนี้ อยู่ในศาสนาพุทธนี่แหละ เห็นมั้ย ผมเองก็เพิ่งมารู้ก็ตอนได้ศึกษาศาสนาพุทธจริงๆ ใหม่ๆก็นึกเปรียบเทียบวัดทั่วไปที่เคยเห็น เลยว่าวัดนี้แปลกๆเกินไป
-
เรื่อง หลักคำสอนอื่นๆ วัดนี้สอนได้ครบถ้วนหมด สอนให้คนละ ปล่อยวางได้ ถึงมีคนมาบวชตลอดชีวิตที่วัดนี้เยอะไงครับ เห็นมีบางคนบอกว่ามาบวชแล้วจะรวยรึเปล่า อารมณ์แบบอัดฉีดรึเปล่า อันนี้ต้องมาลองดู แต่เพื่อนที่เรียนมหาวิทยาลัยมาบวชอยู่หลายรูป เก่งกว่าเราทั้งนั้น เพื่อนเราไม่น่าจะโง่ให้เค้าหลอกนะ ว่าจะแวะไปกราบบ้าง
-
สรุป วัดพระธรรมกายก็เหมือนวัดทั่วไปนี่แหละครับ เพียงแต่สเกลใหญ่กว่ามากๆๆๆมีทั้งสอน ทั้งปฏิบัติธรรม ทั้งเผยแผ่ พระที่วัดนี้ไม่ได้นั่งๆนอนๆเล่น ทุกรูปต้องรับบุญหรือทำงานตามหน้าที่ ตอนนี้พระในวัดน่าจะเกือบ2,000รูป อุบาสกและอุบาสิกา คือ ชาวบ้านแบบเราๆนี่แหละครับ ที่เค้าละทางโลกได้ แล้วเลื่อมใสปาวารณาตัวบอกว่าช่วยงานศาสนาถือศีล8 กินข้าวก้นบาตรอยู่ในวัดอีก2,000คน รวมๆบุคลากรน่าจะ4,000คน ตัวเลขผิดพลาดต้องขออภัย มีสาขาอยู่ทั่วประเทศและทั่วโลก ยังไม่รวมคนงานและแม่บ้านโรงครัวเป็นที่เป็นการจ้างงานคนในพื้นที่และต่าง จังหวัดอีกมากมาย
-
และแน่นอน พูดตรงๆถ้างานใหญ่ก็ต้องใช้งบเยอะ คนที่สร้างวัดหรือสร้างศูนย์ปฏิบัติธรรมจะรู้ดี ไม่เชื่อไปถามท่าน ว. ที่ไร่เชิญตะวัน และเมื่อมีที่ก็ต้องมีคนมา ถ้าจะให้คนมาก็ต้องมีพิธีกรรม ซึ่งไม่แปลก เห็นจะแปลกตรงที่วัดพระธรรมกาย ไม่เคยและไม่มีมหรสพเพื่อดึงคนเข้าวัด และไม่เคยเห็นรูปบูชาอื่นใดนอกเหนือไปจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ในวัดนี้ ส่วนดวงแก้ว หมายว่าเป็นดวงธรรม หรือ พระธรรมภายใน และสมารถใช้เป็นนิมิตรฝึกสมาธิด้วย พระอาจารย์วัดนี้จะแนะนำทุกครั้งที่มีคนใหม่เข้าวัดแล้วสงสัย
-
ส่วน เรื่องหลักการทำสมาธิที่ว่าแปลกๆไปนั้นส่วนตัวผมว่าไม่แปลก ในพุทธมีหลายวิธี แนวของวัดนี้ก็มาจากวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ หรือแนว "สัมมาอรหัง" นี่แหละครับ เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายไม่ได้คิดเอง ชอบไม่ชอบอย่างไรก็ว่ากันตามจริต ซึ่งถ้าหากจะวิจารณ์เรื่องหลักการวิปัสนาก็ต้องแม่นๆส่วนตัวผมไม่ถนัด เพราะยังเป็นคนกิเลสหนาปัญญาหยาบ ไม่เจนจัดเรื่องนี้ ถ้าเหาะได้เมื่อไหร่จะมาเล่าให้ฟังแล้วกันครับ
-
พูดถึงตรงนี้ บางครั้ง ผมว่าชาวพุทธเลิกหลอกตัวเองว่าเป็นวิทยาศาสตร์เถอะครับ เรื่องนรก สวรรค์ ผีสางนางไม้มีอยู่ในพระไตรปิฎกชัดเจน ส่วนใหญ่เป็นวิทยาศาสตร์จริง แต่บางส่วนก็อาจไม่ใช่ หรือที่ชาวพุทธเราปลอบใจตัวเองว่า "วิทยาศาสตร์ยังไปไม่ถึง"
-
และคนที่วิจารณ์คนอื่นว่า "โง่งมงาย ไม่ใช่พุทธแท้ๆเฟ้ย!" อย่าให้เห็นนะครับว่าอัพเฟซบุ๊คว่าไปแก้ปีชง หรือไปไหว้เทพเจ้าแขกที่ไหน มันดูตลกย้อนแย้ง คนวัดพระธรรมกายเค้าจะหัวเราะเยาะแล้วแผ่เมตตาให้เราซะงั้นไป
-
มาถึง เรื่องการเมืองบ้าง ผู้สนส่วนใหญ่มักคิดว่าวัดนี้เป็นของเสื้อแดงจ้า อดีตนายกฯสร้างบ้าง (วัดนี้อายุ40กว่าปี) บ้าไปแล้ว..จากการสำรวจพบว่า คนเข้าวัดนี้ มีทุกสี แต่ใบ้นิดนึงว่าก็เป็นไปตามโครงสร้างประชากรของประเทศ คิดว่าประเทศไทยนิยมสีไหนมาก ก็คนสีนั้นแหละเข้าวัดมาก ส่วนบุคคลสำคัญก็มีทั้ง2ฝั่งที่เข้าวัดนี้ ไม่รู้ว่ามานั่งสมาธิข้างกันได้ยังไง
-
และแน่นอนว่า การขยายขนาดนี้ย่อมกระทบ กระตุกหนวดเสือ ทางวัดพระธรรมกายก็รู้ มีการทำสำรวจและรู้ตัวขบวนการที่ชาววัดบอกว่ามุ่งดิสเครดิตวัด
-
ใน ฐานะทำงานด้านข่าวยอมรับว่ามีจริง และมีทุกวงการ อย่างพวกทีมไซเบอร์ทั้งหลาย อีกทั้ง ชาววัดนี้มักเล่าสู่กันฟังรุ่นต่อรุ่นว่า "ถ้าสื่อสำนักไหนตั้งธงเล่นงานพระบ่อยๆส่วนใหญ่เจ๊งทุกราย"
-
ข้อมูล อีกอย่างที่ควรรู้ การเผยแพร่พุทธระดับโลก วัดพระธรรมกาย ในนาม มูลนิธิธรรมกาย คือแนวหน้าองค์กรพุทธโลก ที่มีความพร้อมทั้ง คน งาน เงิน มีวัดมหายานทางใต้หวัน จีน มาดูงานและร่วมพิธีบุญทุกปี พุทธแบบต้นกำเนิด อย่างอินเดีย เนปาล ศรีลังกา ก็บินมาด้วย เพราะอะไร ผมคิดว่า เพราะเค้าไม่ได้อีโก้สูงอย่างพุทธแบบไทยๆไงล่ะ
-
อีกเรื่อง นิสิตนักศึกษาที่ซึ้งในรสพระธรรม(กาย) ก็พากันไปตั้งชมรมในมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ (มานานหลายสิบปี) ระยะหลังมาเริ่มมีชมรมใหม่ๆขึ้นมาไฝว้กับสายวัดพระธรรมกาย ซึ่งไม่รู้ว่าเพื่ออะไร (เฉพาะราย)
-
วัด พระธรรมกายไม่เคยสั่งสอนให้คนติดกิเลส มัวเมาในวัตถุ ชื่อเสียงเงินทอง อันนี้ต้องยอมรับตรงๆ แต่ภาพลักษณ์ภายนอกที่ออกไปถูกตีความและส่งต่อเช่นนั้น เป็นเรื่องที่ต้องรีแบรนดิ้งใหม่
-
เรื่องคดีความ ทั้งเรื่องคดีเงินทอง ทั้งของวัดและของลูกศิษย์ หรือข้อกล่าวหาทางพระวินัย ผมอยู่วงการข่าวมานาน มันมีเบื้องหน้าเบื้องหลังทั้งนั้น สืบไปสืบมาเดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องโอละพ่อ เอาเป็นว่าทางวัดก็มั่นใจว่าวัดไม่ผิด แบบว่า แหม่ ขนาดยุงยังไม่ตบ ใครจะกล้าทำเรื่องไม่ดี นรก-สวรรค์ นิพพาน ก็สอนกันปาวๆ ส่วนใครไม่ชอบวัดนี้ บอกว่าวัดผิด ก็ว่ากันไปตาม พยานหลักฐานในกระบวนการยุติธรรม ไม่ใช่ศาลเตี้ย
-
ส่วนเรื่องวงในลูก ศิษย์ลูกหาสายแนวคำสอนวิชชาธรรมกายของหลวงปู่สดเอง ก็ใช่ว่าจะราบรื่นเป็นทองแผ่นเดียวกัน วัดพระธรรมกายเองจะถูกค่อนแคะ เช่นว่า อ่ะโด่วว!สอนสมาธิได้แค่เบสิคๆบ้าง เจ้าอาวาสไม่ได้บรรลุวิชชาธรรมกายชั้นสูงบ้าง เรื่องผู้สืบทอดบ้าง เวลาพระจากวัดนี้ออกไปเทศน์สอนสมาธิก็บอกแค่หลักง่ายๆสบายๆ ตรงศูนย์กลางกาย ตรงนี้แหละ! เชื่อว่าบางชาววัดพระธรรมกายบางคนคงลำบากใจ วางตัวไม่ถูก พอพูดเรื่องการปฏิบัติธรรม หรือ ผลของการปฏิบัติธรรมชั้นสูง ซึ่งตามหลักพุทธ ผลพลอยได้คือฤทธิ์ทางใจต่างๆ เดี๋ยวได้ถูกชาวโซเชียลทั้งหลายหาว่า "ศาสนาพุทธไม่เน้นอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์" บ้างล่ะ หรือ "อวดอุตริฯ" บ้างล่ะ อืมม สรุปจะเอาไงกันแน่ ผมเลยคิดได้ว่า พระหรือบุคลากรวัดนี้ได้แต่อยู่เฉยๆ ทำแบบที่เคยทำมานั่นแหละ เจ็บตัวน้อยสุด
-
เรื่องของการวิจารณ์ เท่าที่สัมผัส ผมว่าชาววัดนี้เปิดใจให้คุณวิจารณ์เต็มที่ เพียงแต่ช่วยดูข้อมูลให้รอบด้าน และวิจารณ์ให้มีมาตรฐานเดียวกันกับทุกๆกรณี และชาววัดนี้คงอยากให้ชาวพุทธทั้งหลายออกมารัก หวงแหน ปกป้องศาสนาพุทธอย่างจริงๆจังๆกับหลายๆเหตุการณ์ทางการเมืองที่ผ่านมา และผมยังเชื่อว่าท้ายที่สุด ชาววัดพระธรรมกายก็ยังคงเป็นคนเป็นชายขอบ และเชื่อว่าก็คงทำโครงการต่างๆต่อไป ก้มหน้าให้สังคมด่าและล้อเลียนต่อไป โดยจะไม่ใช้แนวทางฟ้องร้องทางกฎหมายมาจัดการ ทั้งๆที่ทำได้ แต่อาจชั่งใจดูแล้วหรือจะใช้แนวทางแก้ไข ไม่แก้แค้น ก็เป็นได้
-
ถ้าวัดนี้ทำไม่ดี เป็นภัยต่อพุทธศาสนาจริง ด้วยกฎแห่งกรรม ก็ขอให้ล่มจ่ม มีอันต้องเป็นไป แต่ถ้าทำดีทำถูกต้องก็ขอให้ประสบผลตรงข้าม
-
ส่วน ตัวแนะนำ ถ้าสงสัยอะไรให้โทรไปถามวัดเลย เบอร์ 02 831 1000 ดีกว่าการตั้งกระทู้ถาม ตรงที่เถียงกันไม่รู้จบ เพราะเชื่อว่าต่างคนต่างยกสำนัก ยกย่องครูบาอาจารย์ของตัวเอง
-
แต่ถ้า หากใครไม่ชอบวัดนี้จริงๆ คุยกันแล้วไม่รู้เรื่อง ไม่ถูกจริต ก็อยู่กันได้ ไม่จำเป็นต้องตั้งท่ารังเกียจ หรือขนาดอาฆาตพยาบาทจะเอาตะปูเรือใบ เอาเศษแก้วไปโรยให้พระธุดงค์ของวัดนี้ อันนี้ต้องถือว่าไม่มีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์แล้วล่ะ ตรงนี้ คนที่ไม่ชอบจริงๆต้องถือเสียว่า วัดพระธรรมกายเป็นอีกกลุ่มความคิดนึง เป็นอีกศาสนานึง เป็นอีกความเชื่อนึง เหมือนที่เราอยู่กับเพื่อนๆพี่ๆน้องๆศาสนิกอื่นรอบๆกายเรา เอาใจเขามาใส่ใจเรา สังคมเราจะน่าอยู่มาก ส่วนพวกที่บอกว่า "ชั้นว่าธรรมกายไม่ใช่พุทธแท้ ประกาศแยกนิกายไปเลยสิ" อันนี้ก็ด่วนสรุปเกินไป เดี๋ยวจะเข้าทำนอง "ยูว์ไปเอาความมั่นใจผิดๆนี้มาจากไหน" ชาววัดพระธรรมกายโดนด่าขนาดนี้ คุณไม่ถูกปาดคอ หรือก่อความไม่สงบแบ่งแยกดินแดนเป็นรัฐอิสระแถวคลองหลวงก็บุญโขแล้ว ขอจงอดทนอดกลั้นทุกฝ่ายก็แล้วกันครับ ปรองดองครับปรองดอง ท่านผู้นำบอกมา
คนที่รักวัดอยู่แล้วผมเตือนแล้วนะครับตอนแรกว่าอย่าอ่านถ้าไม่แน่จริงเพราะอารมณ์ท่านอาจเปลี่ยนจากที่รักวัดอยู่แล้วอาจ...รักวัดยิ่งขึ้น
‪#‎เพจเรารักวัดพระธรรมกาย‬

อ่านมาถึงตรงนี้ อยากแฉต่อก็แชร์ให้เพื่อนรู้ละกันครับพี่น้อง
ข้อมูลจากเพจ : เรารักวัดพระธรรมกาย

องค์กรสิทธิฯ กล่าวประนาม ทรราช คสช.หลอกลวงนานาชาติ

องค์กรสิทธิฯ กล่าวหารัฐบาลไทยหลอกลวงนานาชาติ เสนอข้อมูลเท็จในรายงานทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชน

-
องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ FIDH ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงปารีสของฝรั่งเศส ออกแถลงการณ์ในวันนี้ (18 พ.ค.) กล่าวหาว่ารัฐบาลไทยหลอกลวงนานาชาติเรื่องสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศ ระหว่างการรายงานทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของประเทศไทยต่อที่ประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UNHRC) ที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 11 พ.ค.ที่ผ่านมา

-
องค์กร FIDH โต้แย้งข้อมูลของตัวแทนรัฐบาลไทยที่เสนอต่อที่ประชุม UNHRC ซึ่งระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวอย่างจำกัด ทั้งที่ข้อเท็จจริงนั้น พล.อ.ประยุทธ์ บังคับใช้อำนาจตามมาตรา 44 ถึง 70 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 25 ธ.ค.2557-4 พ.ค.2559

-
นอกจากนี้ แถลงการณ์ของ FIDH ยังระบุว่า แม้ตัวแทนรัฐบาลไทยประกาศจะดำเนินการตามข้อเสนอแนะระหว่างการประชุมดังกล่าว แต่ขณะเดียวกันก็ยังมีการลิดรอนสิทธิมนุษยชนเกิดขึ้นจำนวนมากนับตั้งแต่เกิดรัฐประหารปี 2557 เป็นต้นมา เห็นได้จากการควบคุมความเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยรัฐบาลไทยอ้างว่าจำเป็นต้องป้องกันความแตกแยกในสังคม แต่กลับส่งผลกระทบต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และการแสดงออกตามความเชื่อทางการเมืองของบุคคล ที่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานและได้รับการคุ้มครองตามข้อตกลงระหว่างประเทศ

-
นายคาริม ฮาลิดจี ประธานองค์กร FIDH กล่าวว่าความพยายามของรัฐบาลไทยที่จะกวาดปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนไปซุกไว้ใต้พรม ได้ถูกตีแผ่ต่อที่ประชุมในนครเจนีวา และสมาชิกสหประชาชาติจำนวนมากต่างกังวลต่อสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนที่กำลังเป็นปัญหาในประเทศไทย
ทั้งนี้ ในการประชุมที่นครเจนีวาดังกล่าว ตัวแทนจาก 97 ประเทศสมาชิกสหประชาชาติทั่วโลก ได้ยื่นข้อเสนอแนะ 249 ข้อต่อรัฐบาลไทย ขณะที่ตัวแทนรัฐบาลไทยยอมรับว่าจะพิจารณาข้อเสนอแนะ 181 ข้อ และจะให้คำตอบเรื่องข้อเสนอแนะอีก 68 ข้อที่เหลือในการประชุม UNHRC ครั้งที่ 33 ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นอีกครั้งในเดือน ก.ย.2559

Cr. บีบีซีไทย - BBC Thai



องค์กรสิทธิฯ กล่าวประนาม ทรราช คสช.หลอกลวงนานาชาติ

องค์กรสิทธิฯ กล่าวหารัฐบาลไทยหลอกลวงนานาชาติ เสนอข้อมูลเท็จในรายงานทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชน

-
องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ FIDH ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงปารีสของฝรั่งเศส ออกแถลงการณ์ในวันนี้ (18 พ.ค.) กล่าวหาว่ารัฐบาลไทยหลอกลวงนานาชาติเรื่องสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศ ระหว่างการรายงานทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของประเทศไทยต่อที่ประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UNHRC) ที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 11 พ.ค.ที่ผ่านมา

-
องค์กร FIDH โต้แย้งข้อมูลของตัวแทนรัฐบาลไทยที่เสนอต่อที่ประชุม UNHRC ซึ่งระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวอย่างจำกัด ทั้งที่ข้อเท็จจริงนั้น พล.อ.ประยุทธ์ บังคับใช้อำนาจตามมาตรา 44 ถึง 70 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 25 ธ.ค.2557-4 พ.ค.2559

-
นอกจากนี้ แถลงการณ์ของ FIDH ยังระบุว่า แม้ตัวแทนรัฐบาลไทยประกาศจะดำเนินการตามข้อเสนอแนะระหว่างการประชุมดังกล่าว แต่ขณะเดียวกันก็ยังมีการลิดรอนสิทธิมนุษยชนเกิดขึ้นจำนวนมากนับตั้งแต่เกิดรัฐประหารปี 2557 เป็นต้นมา เห็นได้จากการควบคุมความเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยรัฐบาลไทยอ้างว่าจำเป็นต้องป้องกันความแตกแยกในสังคม แต่กลับส่งผลกระทบต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และการแสดงออกตามความเชื่อทางการเมืองของบุคคล ที่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานและได้รับการคุ้มครองตามข้อตกลงระหว่างประเทศ

-
นายคาริม ฮาลิดจี ประธานองค์กร FIDH กล่าวว่าความพยายามของรัฐบาลไทยที่จะกวาดปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนไปซุกไว้ใต้พรม ได้ถูกตีแผ่ต่อที่ประชุมในนครเจนีวา และสมาชิกสหประชาชาติจำนวนมากต่างกังวลต่อสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนที่กำลังเป็นปัญหาในประเทศไทย
ทั้งนี้ ในการประชุมที่นครเจนีวาดังกล่าว ตัวแทนจาก 97 ประเทศสมาชิกสหประชาชาติทั่วโลก ได้ยื่นข้อเสนอแนะ 249 ข้อต่อรัฐบาลไทย ขณะที่ตัวแทนรัฐบาลไทยยอมรับว่าจะพิจารณาข้อเสนอแนะ 181 ข้อ และจะให้คำตอบเรื่องข้อเสนอแนะอีก 68 ข้อที่เหลือในการประชุม UNHRC ครั้งที่ 33 ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นอีกครั้งในเดือน ก.ย.2559

Cr. บีบีซีไทย - BBC Thai



รำลึก 19 พ.ค. 2559 6 ปีแล้วที่ ยังหาตัว ฆาตกรที่ประหัดประหาร ประชาชนไม่ได้

รำลึก 19 พ.ค. 2559

6 ปีแล้วที่ ระบบศาล ยุติธรรม ยังหาตัว ฆาตกรที่ฆ่า ประชาชนไม่ได้

ทั้งๆ ที่ พวกฆาตกรเหล่า เดินกันทั้งในสภาและ หน่วยงานราชการทั่วไป

------------------------------------------------------------------------------

ประชาชนร่วมร้อย ผูกผ้าดำ-ตะโกนที่นี่มีคนตาย กลางแยกราชประสงค์
เวลาประมาณ 17.30 น.ประชาชนร่วมร้อยคนมาชุมนุมที่ป้ายสี่แยกราชประสงค์ เพื่อรำลึกเหตุการณ์การสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดงในปี 2553 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก โดยประชาชนร่วมกันผูกผ้าดำ และร้องเพลงเพื่อมวลชน นอกจากนี้ยังมีคนลงไปทำท่านอนตายที่พื้น ขณะที่คนอื่นๆ ตะโกนว่า "ที่นี่มีคนตาย"

Cr. Prachatai 




รำลึก 19 พ.ค. 2559 6 ปีแล้วที่ ยังหาตัว ฆาตกรที่ประหัดประหาร ประชาชนไม่ได้

รำลึก 19 พ.ค. 2559

6 ปีแล้วที่ ระบบศาล ยุติธรรม ยังหาตัว ฆาตกรที่ฆ่า ประชาชนไม่ได้

ทั้งๆ ที่ พวกฆาตกรเหล่า เดินกันทั้งในสภาและ หน่วยงานราชการทั่วไป

------------------------------------------------------------------------------

ประชาชนร่วมร้อย ผูกผ้าดำ-ตะโกนที่นี่มีคนตาย กลางแยกราชประสงค์
เวลาประมาณ 17.30 น.ประชาชนร่วมร้อยคนมาชุมนุมที่ป้ายสี่แยกราชประสงค์ เพื่อรำลึกเหตุการณ์การสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดงในปี 2553 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก โดยประชาชนร่วมกันผูกผ้าดำ และร้องเพลงเพื่อมวลชน นอกจากนี้ยังมีคนลงไปทำท่านอนตายที่พื้น ขณะที่คนอื่นๆ ตะโกนว่า "ที่นี่มีคนตาย"

Cr. Prachatai 




"เราเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของหลวงพ่อธัมมชโย"


"เราเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของหลวงพ่อธัมมชโย"


รำลึก พฤษภา 2553 (จากทางบ้าน)

ความทรงจำโดยตรงของผมเมื่อเดือนพฤษภาคม 2553 ความคับแค้นอันยากที่จะลืมมันไป...

----------------

เดือนนี้ประมาณกลางๆเดือนย้อนกลับไปเมื่อปี 2553 ใครๆก็รู้ว่าเวลานี้เมื่อ 6 ปีก่อน ใจกลางเมืองกรุงเทพมหานคร รัฐบาลกำลังใช้กองทัพพร้อมอาวุธสงครามครบมือ ออกมา "กวาดล้างเสื้อแดงในนามกระชับพื้นที่"

รัฐบาลอภิสิทธิ์ตัดสินใจใช้กำลังติดอาวุธเข้าสลายประชาชน ณ ที่แห่งนั้น...

เวลานั้น ผมกำลังเรียน ป โท มหาวิทยาลัยใกล้ๆกับราชประสงค์ และทำงานเป็น NGO ด้านสิทธิมนุษยชนในองค์กรหนึ่งชื่อว่าคณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน (ครส.) เป็นองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนเล็กๆองค์กรหนึ่ง

ด้วยความที่กำลังเรียนและกำลังทำงานทางด้านนี้ ประกอบกับความกระตือรือร้นทางการเมืองของตัวเอง จึงได้แวะเวียนไปยังที่ชุมนุมของเสื้อแดงที่ราชประสงค์เกือบทุกวัน ไปถ่ายรูป ไปคุยกับคนที่มาชุมนุม หาซื้ออะไรกิน ฯลฯ

ก่อนหน้ารัฐบาลใช้กำลังเข้าสลายชุมนุม มันมีการปะทะประปรายกันตามแนวรั้วที่ชุมนุม ผมอยู่ในเหตุการณ์หลายๆเหตุการณ์โดยเฉพาะการปะทะบนถนนสีลม ฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลขว้างปาสิ่งของ ยิงประทัด ยิงหนังกะติ้กใส่กับการ์ดเสื้อแดงเป็นชั่วโมงๆก่อน ตร.ชุดสลายชุมนุมมาถึง (ผมจำวันที่แน่นอนไม่ได้)

หลังจากรัฐบาลประกาศกระชับพื้นที่ บรรยากาศในที่ชุมนุมมีความตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด มีการเพิ่มกำลังการ์ดอีกหลายเท่าตัวทั้งการ์ดจัดตั้งและการ์ดอาสา

ผมยังเดินทางเข้าๆออกๆในที่ชุมนุมได้ตลอด

จนถึง "วันจริง"

------------

ในวันที่เสธแดงถูกยิง วันนั้นผมเดินอยู่ใกล้ๆกลุ่มนักข่าวที่มาทำข่าวเสธแดง ผมอัดวิดีโอและถ่ายรูปตามปกติ ทันใดนั้นเกิดการชุมลมุนวุ่นวายในกลุ่มนักข่าว ผมรีบวิ่งไปดู เห็นกับตาว่ามีเลือดไหลออกจากศรีษะของนายทหารคนนั้นเป็นลิ่มๆ ทุกคนช่วยกันประคอง ต่อมาไม่นานนักรถฉุกเฉินวิ่งเข้ามารับร่างนายทหารคนนั้นออกไป

คืนวันที่เสธแดงถูกยิง รั้วรอบที่ชุมนุมปิดไฟลงหมดทุกด้าน ผมได้ยินเสียงปืนยิงประทะกันแทบตลอดทั้งคืน

คืนนั้นผมออกไปไหนไม่ได้เพราะปิดทางเข้าออกอย่างสิ้นเชิง ผมจึงได้แต่เดินไปสำรวจรอบๆสถานที่เกิดเหตุ และเห็นว่าการ์ดเสื้อแดงถือ มีด ไม้ หนังสะติ้ก เดินไปมาเหมือนมีอะไรซักอย่างไม่ชอบมาพากล

ผมเข้าใจว่ามีการประทะกันระหว่างการ์ดเสื้อแดงและบุคคลลึกลับภายนอก เพราะมีรการยิงประทะกันตลอดทั้งคืน

ในช่วงที่พีคที่สุดของการประทะ ผมดันเอาตัวเองไปยืนแถวแนวยิงอย่างไม่ตั้งใจ ด้วยความมืดและความโกลาหน มีจังหวะยิงประทะกัน มีลูกกระสุนจากข้างนอกถูกยิงเข้ามา ทะลุระหว่างขาของผมอย่างฉิวเฉียด ลูกกระสุนกระแทกลงไปกับพื้นข้างเท้าขวา มีการ์ดคนหนึ่งวิ่งมาคว้าตัวของผมออกไปจากจุดนั้น

"คุณๆๆๆๆ ออกมาก่อน ไปเดินอะไรแถวนั้น เดี๋ยวตาย มีคนถูกยิงแล้วสามสี่คนตรงนั้น"

นั่นเป็นวันที่ผมจดจำมาตลอดจนถึงวันนี้

-------------

หลังจากวันเสธแดงถูกยิง บรรยากาศที่ชุมนุมทวีความตึงเครียดขึ้นอย่างหนัก ทางเข้าออกหลักๆทั้งหมดถูกปิดตาย คนนอกออกไม่ได้ คนในห้ามเข้า

ผมยังไปๆมาๆระหว่างที่ทำงานกับม๊อบอยู่ตลอด แต่เข้าออกทางอื่นๆที่ไม่ใช่ทางเข้าปกติ

ผมรู้สึกว่าป้อมปราการแห่งนี้ไม่มั่นคงเอามากๆ อีกอย่าง มีเพื่อนของผมคนหนึ่งโทรเข้ามา บอกว่ามึงออกจากตรงนั้นได้แล้ว ทหารมันเอาจริง มึงออกมาก่อน

ผมตัดสินใจออกจากที่ชุมนุม และไม่กลับเข้าไปอีก ทั้งเพื่อนและพี่ขอเอาไว้ว่าให้ใจเย็นๆก่อน

เมื่อผมออกมาจากราชประสงค์ได้เพียงวันเดียว ยุทธการปิดเมืองยิงเสื้อแดงได้โหมโรงอย่างคึกคะนอง ฐานที่มั่นเสื้อแดงหลายจุดถูกทหารสลายลง มีศพนอนตายจุดนั้นจุดนี้ให้เห็น มีควันไฟจากยางรถยนต์ มีเสียงปืนดังขึ้นกึกก้องกลางเมืองเป็นระยะ

พวกเขายิงประชาชน

พวกเขายิงประชาชน

พวกเขายิงประชาชน

ผมกล่าวกับตัวเองซ้ำๆๆๆ น้ำตาไหลลงอาบแก้มอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ อ่านข่าว ดูรายงานสดด้วยความคับแค้นจิตใจอย่างมหาศาล

ไม่นึกว่าคนอายุ 26-27 อย่างผมต้องมาพบเจอประสบการณ์ทางการเมืองอันเลวร้ายขนาดนั้นมาก่อนในชีวิต และผมมีส่วนร่วมกับมันโดยตรง

ผมจึงลืมมันไม่ได้ และจดจำจิตใจคับแค้นของตัวเองได้ดีจนถึงวันนี้

THAILAND: Stop judicial harassment of Sirikan Charoensiri

19 May 2016

---------------------------------------------------------------------
THAILAND: Stop judicial harassment of Sirikan Charoensiri

ISSUES: Human Rights Defenders; Rule of Law; Fair Trial 
---------------------------------------------------------------------

Dear Friends,

The Asian Human Rights Commission (AHRC) has received updated information that Ms. Sirikan Charoensiri, a lawyer at Thai Lawyers for Human Rights (TLHR), reported herself to the public prosecutor on 12 May 2016, relating to the case in which she was charged for providing legal assistance to 14 pro-democracy activists. Ms. Sirikan's case has created a perception that lawyers providing legal representation in so called 'political' cases may face harassment from police and other State authorities.

CASE NARRATIVE:

Ms. Sirikan Charoensiri is a human rights lawyer who is the one of legal representatives for the 14 student activists from the New Democracy Movement (NDM). The NDM was founded by a core group of mostly students of working class backgrounds from Bangkok and Khon Kaen, who have been actively involved with the campaign to recall democracy in Thailand.

On 26 June 2015, police arrested the 14 student activists in execution of an arrest warrant issued by the Bangkok Military Court. They were charged with violating National Council for Peace and Order (NCPO) Order No. 3/2015, which bans gatherings of more than five people, and Article 116 of the Thai Criminal Code regarding sedition. On June 27 the Bangkok Military Court granted remand in custody of the 14 student activists for 12 days. The 13 men are detained at the Bangkok Remand Prison, and one woman is held at the Woman Correctional Institution.

During the night of June 26-27, Ms. Sirikan together with seven other TLHR colleagues were on duty and assisted the 14 students activists as lawyers.

After finishing her duty of providing legal assistance to them at the Bangkok Military Court, Ms. Sirikan was requested by police officials lead by Police Major General Chayapol Chatchaidej, commander of the Sixth Division of Metropolitan Police Bureau, to have her car searched to confiscate some mobile phones, which the students left with the lawyers before being brought to the prisons. Ms. Sirikan refused to let her car be searched, since the officials did not present a search warrant, and there was no justifiable evidence to conduct the search without a warrant at night. The officials then impounded her car overnight, and brought a court warrant to conduct the search on 27 June 2015. Miss Sirikan later filed a complaint of malfeasance, under Section 157 of the Thai Criminal Code, against General Chayapol Chatchayadetch and others for illegally impounding her car.

Consequently, the police filed complaints against her, accusing her of refusing to comply with an official order without any reasonable cause or excuse after being informed of an order of an official given according to the power invested by law, and an offence of concealing or making away of property or document ordered by the official to be sent as evidence or for execution of the law, under Sections 368 and 142 of the Thai Criminal Code, and an offence of giving false information concerning a criminal offence to an inquiry official to subject an individual to a punishment under Sections 172 and 174 of the Criminal Code.

The police investigation at the Chanasongkram Police Station has been completed, and Ms. Sirikan's case has been sent to the public prosecutor of Dusit District Court in Bangkok. On 27 April 2016, Ms. Sirikan received a summons to report herself to the public prosecutor. The prosecutor informed Ms. Sirikan that police investigators have agreed to press charges against her under Articles 368 and 142 of the Thai Criminal Code on 12 May 2016.

However, under Thai law, after the police have concluded an investigation and decide to proceed with a case, they announce the date on which the case file and the charged person will be presented to the public prosecutor. The public prosecutor will then decide whether to prosecute the case or issue a non-prosecution order. If the public prosecutor decides to issue a prosecution order, he must seek permission from the Attorney General according to Articles 7 and 9 of the Act on Establishment of District Courts and District Court Procedure 1956. The Act does not indicate the timeframe within which the Attorney General must give permission to issue a prosecution order.

Therefore, Ms. Sirikan and her legal team have submitted an appeal for justice with the public prosecutor, to examine more witnesses and consider her legal/factual arguments, and hopefully dismiss the case.

Nevertheless, according to the prosecutor, they will announce whether to indict Ms. Sirikan on 27 July 2016.


ADDITIONAL INFORMATION:

Progress of Ms.Sirikan's other cases

1. Ms. Sirikan's complaint against Pol.Lt. Gen. Chayapol Chatchayadetch for Malfeasance, an offence under Section 157 of the Thai Criminal Code, for arbitrarily impounding Sirikan's car overnight as she refused to let her car be searched without a court order, is under investigation by the National Anti-Corruption Commission. 

2. The criminal charges against Ms. Sirikan of filing a false police report, an offence under Section 172 (imprisonment not exceeding two years) and Section 174 (imprisonment not exceeding five years) of the Criminal Code--As the inquiry official was informing Ms. Sirikan of the charges on 9 February 2016, Ms.Sirikan's lawyer asked the inquiry official on the detail of the alleged offence. The inquiry official failed to indicate which information Ms. Sirikan had filed was false. Thus, Ms. Sirikan refused to be informed of the charges in this case. The inquiry official did not yet press the charges against her, and shall question the accuser for clarification of which information was false as alleged. The inquiry official will summon Ms. Sirikan to inform these charges later. At this time, Ms. Sirikan is not charged by police with two offences of filing a false police report. However, it is probable that the police will summon her to inform the charges again.

SUGGESTED ACTION:

Please write a letter to the following government authorities to urge them to drop the charges against Ms. Sirikan Charoensiri and to maintain its respect for the independence of lawyers and ensure lawyers are able to conduct their professional functions without fear of official reprisals. Please also be informed that the AHRC is writing a separate letter to the UN Special Rapporteur on the Independence of Judges and Lawyers calling for their intervention into this matter.
To support this case, please click here: 


SAMPLE LETTER:

Dear ___________,

THAILAND: Stop Judicial Harassment of Sirikan Charoensiri

Name of victim: Ms. Sirikan Charoensiri
Names of alleged perpetrators: the police lead by Pol. Maj. Gen. Chayapol Chatchaidej, commander of the Sixth Division of Metropolitan Police Bureau
Date of incident: 27 June 2015
Place of incident: Bangkok, Thailand

I am writing to voice my deep concern regarding the recent cases of intimidation and harassment against human rights lawyers in Thailand. Ms. Sirikan Charoensiri is a human rights lawyer who is the one of legal representatives for the 14 student activists from the New Democracy Movement (NDM).

On 26 June 2015, police arrested the 14 student activists in execution of an arrest warrant issued by the Bangkok Military Court. They were charged with violating National Council for Peace and Order (NCPO) Order No. 3/2015, which bans gatherings of more than five people, and Article 116 of the Thai Criminal Code regarding sedition. On June 27 the Bangkok Military Court granted remand in custody of the 14 student activists for 12 days. The 13 men are detained at the Bangkok Remand Prison, and one woman is held at the Woman Correctional Institution.

During the night of June 26-27, Ms. Sirikan together with seven other TLHR colleagues were on duty and assisted the 14 students activists as lawyers.

After finishing her duty of providing legal assistance to them at the Bangkok Military Court, Ms. Sirikan was requested by police officials lead by Police Major General Chayapol Chatchaidej, commander of the Sixth Division of Metropolitan Police Bureau, to have her car searched to confiscate some mobile phones, which the students left with the lawyers before being brought to the prisons. Ms. Sirikan refused to let her car be searched, since the officials did not present a search warrant, and there was no justifiable evidence to conduct the search without a warrant at night. The officials then impounded her car overnight, and brought a court warrant to conduct the search on 27 June 2015. Miss Sirikan later filed a complaint of malfeasance, under Section 157 of the Thai Criminal Code, against General Chayapol Chatchayadetch and others for illegally impounding her car.

Consequently, the police filed complaints against her, accusing her of refusing to comply with an official order without any reasonable cause or excuse after being informed of an order of an official given according to the power invested by law, and an offence of concealing or making away of property or document ordered by the official to be sent as evidence or for execution of the law, under Sections 368 and 142 of the Thai Criminal Code, and an offence of giving false information concerning a criminal offence to an inquiry official to subject an individual to a punishment under Sections 172 and 174 of the Criminal Code.

Since the police investigation at the Chanasongkram Police Station has been completed, and Ms. Sirikan's case has been sent to the public prosecutor of Dusit District Court in Bangkok, on 27 April 2016, Ms. Sirikan received a summons to report herself to the public prosecutor. The prosecutor informed Ms. Sirikan that police investigators have agreed to press charges against her under Articles 368 and 142 of the Thai Criminal Code on 12 May 2016.

As you must be aware however, under Thai law, after the police have concluded an investigation and decide to proceed with a case, they announce the date on which the case file and the charged person will be presented to the public prosecutor. The public prosecutor will then decide whether to prosecute the case or issue a non-prosecution order. Therefore, Ms. Sirikan and her legal team have submitted an appeal for justice with the public prosecutor, to examine more witnesses and consider her legal/factual arguments, and hopefully dismiss the case.

Nevertheless, according to the prosecutor, they will announce whether to indict Ms. Sirikan on 27 July 2016.

I am concerned that this case has created a perception that lawyers providing legal representation in so-called 'political' cases may face harassment from police and other State authorities. They undermine the ability of lawyers in Thailand to conduct their professional functions without fear of official reprisals.

I wish to point out that it is a fundamental principle in international law that lawyers must be able to represent their clients without fear of retaliation, interference or harassment. Principle 16 of the UN Basic Principles on the Role of Lawyers states that: "Governments shall ensure that lawyers… are able to perform all of their professional functions without intimidation, hindrance, harassment or improper interference". The Basic Principles have been applied in international jurisprudence, as an extension of the right to a fair trial in Article 14 of the International Covenant on Civil and Political Rights (ICCPR), to which Thailand is a party. The Basic Principles further recognize that lawyers "shall not be identified with their clients or their clients' causes as a result of discharging their functions." Indeed, lawyers must be able to act freely, diligently and fearlessly in accordance with the wishes of their clients.

In addition, the ICCPR also guarantees the right to peaceful assembly; the right to freedom of expression; the prohibition of arbitrary arrest or detention and the right to a fair and public hearing by a competent, independent and impartial tribunal established by law (including the right of prompt access to a lawyer and precluding jurisdiction of military courts over civilians in circumstances such as these); and the prohibition of arbitrary or unlawful interference with privacy, family, home and correspondence (which includes arbitrary searches or seizures).

Hence, I urge the Thai authorities to:
1. Call on the Thai Royal Police to guarantee in all circumstances the physical and psychological integrity of Ms. Sirikan Charoensiri;
2. Call on the Thai Royal Police and the Office of Attorney General to immediately and unconditionally drop all charges against Ms. Sirikan, and put an end to all acts of judicial harassment against her;
3. Call on Thai authorities and the Lawyer Council of Thailand to comply with the national and international law safeguarding the independence of lawyers and protecting them from unlawful interference in their professional activities.

Yours Sincerely,

……………….

PLEASE SEND YOUR LETTERS TO:

1. General Prayuth Chan-ocha
Prime Minister
Head of the National Council for Peace and Order
Royal Thai Army Commander-in-Chief
Rachadamnoen Nok Road
Bang Khun Phrom
Bangkok 10200 
THAILAND
E-mail: prforeign@gmail.com

2. Mr. Paiboon Khumchaya 
Minister of Justice
The Government Complex Commemorating His Majesty the King's 80th Birthday Anniversary 5th December, B.E.2550 (2007), Building B 120 Moo 3
Chaengwattana Road 
Thoongsonghong, Laksi Bangkok 10210 
THAILAND
Tel: +66 2 14 5100
Email: callcenter@moj.go.th


3. Pol Gen Chakthip Chaijinda
Commissioner General of the Royal Thai Police 
Rama I Rd, Khwaeng Pathum Wan, 
Khet Pathum Wan, Bangkok 10330
THAILAND

4. Pol.Sub.Lt. Pongniwat Yuthaphunboripahn 
Deputy Attorney General.
The Office of the Attorney General
The Government Complex Commemorating His Majesty the King's 80th Birthday Anniversary 5th December, B.E.2550 (2007), Building B 120 Moo 3
Chaengwattana Road 
Thoongsonghong, Laksi Bangkok 10210 
THAILAND

Tel: +66 2 142 1444 
Fax: +66 2 143 9546 
Email: ag@ago.go.th

5. Mr. What Tingsamitr
Chairman, National Human Rights Commission 
The Government Complex Commemorating His Majesty the King's 80th Birthday Anniversary 5th December
B.E.2550 (2007), Building B 120 Moo 3
Chaengwattana Road 
Thoongsonghong, Laksi Bangkok 10210 
THAILAND 
E-mail: help@nhrc.or.th