ยินดีต้อนรับ
Friday, April 29, 2016
สถุนธนิศร์ ลูกอัฒฑะ กกต. กล่าวว่า ส่วนที่ทำไม่ได้ 8 ข้อ ได้แก่ .- 1.การสัมภาษณ์ผ่านสื่อ ด้วยข้อความเท็จหรือมีลักษณะก้าวร้าวรุนแรงหยาบคาย ปลุกระดม หรือข่มขู่ - 2.การนำเข้าข้อมูล อันเป็นเท็จหรือมีลักษณะก้าวร้าว รุนแรง หยาบคาย ปลุกระดมหรือข่มขู่ในเว็บไซต์และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือส่งต่อข้อมูลในลักษณะดังกล่าว - 3.การทำหรือส่งสัญลักษณ์ หรือเครื่องหมาย มีลักษณะก้าวร้าวรุนแรงหยาบคาย ปลุกระดม หรือข่มขู่ - 4.การจัดเวทีสัมมนา อภิปราย โดยกลุ่มองค์กรต่างๆที่ไม่มีหน่วยงานราชการ สถาบันการศึกษา องค์กรสื่อมวลชน ตามกฏหมายเข้าร่วมและมีเจตนาเพื่อปลุกระดมทางการเมือง - 5.การชักชวนให้ใส่เสื้อ หรือติดป้าย เข็มกลัด ธง ริบบิ้น หรือเครื่องหมายที่แสดงสัญลักษณ์ความเห็นอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือการขาย การแจกจ่ายสิ่งของดังกล่าว ในลักษณะรณรงค์ทั่วไปเพื่อนำไปสู่การปลุกระดมทางการเมือง - 6.การใช้เอกสารใบปลิวหรือแผ่นพับ ที่มีข้อความเป็นเท็จ หรือมีลักษณะก้าวร้าวรุนแรงหยาบคาย หรือปลุกระดมทางการเมือง - 7.การรายงานข่าวหรือการจัดรายการของสื่อมวลชนที่นำไปสู่การปลุกระดมหรือสร้างความวุ่นวายในสังคม - และ 8.การรณรงค์เพื่อให้เกิดการ
เผย! แผนลับ จับพระธัมมชโยสึก
-
พระธัมมชโยท่านป่วยหลายโรคมากว่า 10 ปี ออกนอกวัดไม่เกิน 3 ครั้ง ตลอดมาทั้งปีที่ผ่านมา พระธัมมชโยไม่เคยออกนอกวัดเลย ท่านเป็นเรื้อรังมายาวนาน ทั้งเบาหวาน ความดัน ภูมิแพ้ กล้ามเนื้ออักเสบ เส้นเลือดดำอุดตัน ฯ ถ้านั่งในรถนานๆก็มีปัญหา ออกไปข้างนอกไปเจอสภาพอากาศที่ควบคุมไม่ได้ ฝุ่น ควัน เชื้อโรค สารเคมีแม้จากเสื้อผ้าของคนรอบข้าง ก็เสี่ยงต่อการติดเชื้อ อาการจะยิ่งทรุดหนัก
-
ทำไม..พระธัมมชโย + วัดพระธรรมกาย + วัดอื่นๆ ที่รับเช็คสหกรณ์ คลองจั่นอัยการสั่งให้ DSI สอบสวนเพิ่มเติม แล้วส่งให้อัยการพิจารณาอีกครั้ง
-
ทำไม ในเมื่อ DSI หรือพนักงานสอบสวนสามารถมาแจ้งข้อกล่าวหากับผู้ต้องหาได้ด้วยตัวเองโดยที่ไม่ต้องมีหมายเรียกตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 52 วรรค 2 ได้ ทำไมไม่ไปสอบสวนที่วัดล่ะคะ ทั้งที่รู้ว่า
-
(หรือไม่รู้ หรือแกล้งไม่รู้) ถ้าเลื่อนไปเรื่อยๆก็แจ้งข้อกล่าวหาไม่ได้สักที ก็มาแจ้งที่วัดเลยสิ
-
ขั้นตอนของกระบวนการสอบสวนจะได้จบ ต่อไปเป็นขั้นตอนของการฟ้อง เป็นเรื่องของอัยการว่าคดีมีมูลและอยู่ในเกณฑ์จะส่งฟ้องหรือไม่ และเป็นเรื่องของศาลว่าจะประทับฟ้องหรือไม่ เพราะคดีนี้ไม่มีผู้เสียหายตามป.วิ.อ.แล้ว แถมเป็นฟ้องซ้อนกับคดีก่อน
-
ในคดีที่ 146/2556 ที่มีการฟ้องคุณศุภชัยฐานลักทรัพย์นายจ้าง ซึ่งตามหลักกฎหมายมีอยู่ว่า "บุคคลไม่ควรถูกพิจารณาในมูลคดีเดียวกัน 2 ครั้ง "
-
ถ้าจะฟ้องในกรณีที่มูลคดีเป็นเรื่องอันเดียวกัน ต้องบรรยายมาในคดี 145/2556 ว่าฟ้องใครเป็นจำเลยบ้าง ฟ้องข้อหาอะไรบ้าง
-
กรณีนำมูลคดีเดียวกันมาฟ้องอีกครั้งนี้ ศาลไม่อาจประทับฟ้องได้ คดี 27/2559 เป็นฟ้องซ้อน ถ้าต่อมาภายหลังศาลประทับฟ้องคดี 146 /2556 เมื่อไหร่ ศาลต้องยกฟ้องคดี 27/2559 อย่างเดียว
-
เพราะฉะนั้น DSI จะแจ้งข้อกล่าวหาพระธัมมชโยนั้น จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย และควรจะถูกฟ้องกลับความผิดอาญาฐานเป็นเจ้าพนักงานกลั่นแกล้งผู้อื่นเพื่อให้ได้รับโทษด้วย
-
สรุป DSI รู้ว่าเป็นฟ้องซ้อน ตามป.วิ.แพ่ง มาตรา 173 วรรค 2 (1) ประกอบป.วิ.อาญา มาตรา 15 แต่ที่ออกหมายเรียกให้เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายไปรับทราบข้อกล่าวหาที่ DSI ให้ท่านออกจากวัดให้ได้ ทั้งที่มาแจ้งข้อกล่าวหาที่วัดเองจะง่ายแสนง่าย เพราะ DSI ไม่ได้ป่วยเรื้อรังแบบพระธัมมชโย
-
แต่ทำไมไม่ทำ มีแผนต้องการจะหลอกให้พระธัมมชโย ออกไปพบข้างนอกวัด เพื่อรวบตัวหรือไม่ ? หรือถ้าแพทย์ผู้ดูแลพระธัมมชโย มีความเห็นว่าพระธัมมชโย ยังออกไปไม่ได้ จะขอเลื่อนไปอีก
-
DSI ก็จะใช้แผน 2 พยายามหาความชอบธรรมที่จะขอหมายจับจากศาลอีกใช่ไหม ?
-
ทั้งที่แค่มาแจ้งข้อกล่าวหาที่วัดพระธรรมกายก็จบแล้ว
-
ชักสงสัยพฤติกรรมของ ดีเอสไอ
-
Cr. Olivia Armando
เผย! แผนลับ จับพระธัมมชโยสึก
-
พระธัมมชโยท่านป่วยหลายโรคมากว่า 10 ปี ออกนอกวัดไม่เกิน 3 ครั้ง ตลอดมาทั้งปีที่ผ่านมา พระธัมมชโยไม่เคยออกนอกวัดเลย ท่านเป็นเรื้อรังมายาวนาน ทั้งเบาหวาน ความดัน ภูมิแพ้ กล้ามเนื้ออักเสบ เส้นเลือดดำอุดตัน ฯ ถ้านั่งในรถนานๆก็มีปัญหา ออกไปข้างนอกไปเจอสภาพอากาศที่ควบคุมไม่ได้ ฝุ่น ควัน เชื้อโรค สารเคมีแม้จากเสื้อผ้าของคนรอบข้าง ก็เสี่ยงต่อการติดเชื้อ อาการจะยิ่งทรุดหนัก
-
ทำไม..พระธัมมชโย + วัดพระธรรมกาย + วัดอื่นๆ ที่รับเช็คสหกรณ์ คลองจั่นอัยการสั่งให้ DSI สอบสวนเพิ่มเติม แล้วส่งให้อัยการพิจารณาอีกครั้ง
-
ทำไม ในเมื่อ DSI หรือพนักงานสอบสวนสามารถมาแจ้งข้อกล่าวหากับผู้ต้องหาได้ด้วยตัวเองโดยที่ไม่ต้องมีหมายเรียกตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 52 วรรค 2 ได้ ทำไมไม่ไปสอบสวนที่วัดล่ะคะ ทั้งที่รู้ว่า
-
(หรือไม่รู้ หรือแกล้งไม่รู้) ถ้าเลื่อนไปเรื่อยๆก็แจ้งข้อกล่าวหาไม่ได้สักที ก็มาแจ้งที่วัดเลยสิ
-
ขั้นตอนของกระบวนการสอบสวนจะได้จบ ต่อไปเป็นขั้นตอนของการฟ้อง เป็นเรื่องของอัยการว่าคดีมีมูลและอยู่ในเกณฑ์จะส่งฟ้องหรือไม่ และเป็นเรื่องของศาลว่าจะประทับฟ้องหรือไม่ เพราะคดีนี้ไม่มีผู้เสียหายตามป.วิ.อ.แล้ว แถมเป็นฟ้องซ้อนกับคดีก่อน
-
ในคดีที่ 146/2556 ที่มีการฟ้องคุณศุภชัยฐานลักทรัพย์นายจ้าง ซึ่งตามหลักกฎหมายมีอยู่ว่า "บุคคลไม่ควรถูกพิจารณาในมูลคดีเดียวกัน 2 ครั้ง "
-
ถ้าจะฟ้องในกรณีที่มูลคดีเป็นเรื่องอันเดียวกัน ต้องบรรยายมาในคดี 145/2556 ว่าฟ้องใครเป็นจำเลยบ้าง ฟ้องข้อหาอะไรบ้าง
-
กรณีนำมูลคดีเดียวกันมาฟ้องอีกครั้งนี้ ศาลไม่อาจประทับฟ้องได้ คดี 27/2559 เป็นฟ้องซ้อน ถ้าต่อมาภายหลังศาลประทับฟ้องคดี 146 /2556 เมื่อไหร่ ศาลต้องยกฟ้องคดี 27/2559 อย่างเดียว
-
เพราะฉะนั้น DSI จะแจ้งข้อกล่าวหาพระธัมมชโยนั้น จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย และควรจะถูกฟ้องกลับความผิดอาญาฐานเป็นเจ้าพนักงานกลั่นแกล้งผู้อื่นเพื่อให้ได้รับโทษด้วย
-
สรุป DSI รู้ว่าเป็นฟ้องซ้อน ตามป.วิ.แพ่ง มาตรา 173 วรรค 2 (1) ประกอบป.วิ.อาญา มาตรา 15 แต่ที่ออกหมายเรียกให้เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายไปรับทราบข้อกล่าวหาที่ DSI ให้ท่านออกจากวัดให้ได้ ทั้งที่มาแจ้งข้อกล่าวหาที่วัดเองจะง่ายแสนง่าย เพราะ DSI ไม่ได้ป่วยเรื้อรังแบบพระธัมมชโย
-
แต่ทำไมไม่ทำ มีแผนต้องการจะหลอกให้พระธัมมชโย ออกไปพบข้างนอกวัด เพื่อรวบตัวหรือไม่ ? หรือถ้าแพทย์ผู้ดูแลพระธัมมชโย มีความเห็นว่าพระธัมมชโย ยังออกไปไม่ได้ จะขอเลื่อนไปอีก
-
DSI ก็จะใช้แผน 2 พยายามหาความชอบธรรมที่จะขอหมายจับจากศาลอีกใช่ไหม ?
-
ทั้งที่แค่มาแจ้งข้อกล่าวหาที่วัดพระธรรมกายก็จบแล้ว
-
ชักสงสัยพฤติกรรมของ ดีเอสไอ
-
Cr. Olivia Armando
ประชาชนอย่างเราๆ จะเลี้ยงหมานิสัยเหี้ยสมองควาย ….. ไว้ทำพรื๊อหล่าว?
ทรราช คสช. กวาดล้างผู้ต้องการประชาธิปไตย ด้วยข้อหา ความมั่นคง
———————————————————————————-
แม้ไอ้ตูบประยุทธ์จะกล่าวว่า การใช้คำสั่งมาตรา 44 หรือคำสั่งอื่นๆ ทุกมาตราต้องมีการตั้งประเด็นว่าจะใบ้เพราะอะไร ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ จะมาประกาศใช้วันนี้สัก 5 ราย ตนไม่เคยคิดอย่างนั้น มีแต่ว่าจะทำอย่างไรให้ลดความขัดแย้งลงไปให้งานเดินหน้า เจตนามีเท่านี้ กฎหมายคือกฎหมาย แต่วิธีการบริหารจัดการต้องไม่บิดเบือนสิ่งทีทำวันนี้ ขอให้เข้าใจตรงกันว่าตนและรัฐบาล (ทรราช คสช.) มีเจตนาบริสุทธิ์ ขอให้ไว้วางใจกัน
—
อีกทั้งไอ้ตูบยังเห่าหอนต่ออีกว่า
—
"ผมยืนตรงนี้โดนด่าทั้งวัน ทำดีก็โดน ทำไม่ดียิ่งโดนหนักมากไปอีก ตนระวังตัวเองเสมอ ให้อภัยผมเถอะ อาจารย์สมคิดก็ให้อภัยผมเถอะนะ ผมมีอารมณ์บ้างนิดหน่อยเหมือนกับ"เม่น"มันต้องพองขนไว้ก่อน เพราะคนชอบมารังแกผม เพราะผมตัวเล็กกว่า"ไอ้ตูบกล่าว
–
หากเรามองด้วยใจเป็นธรรม เราจะพบความระยำโกหก ตอแหล จากไอ้ตูบตัวนี้ ไม่เว้นแต่ละวัน และด้วยข้อหาที่ ทรราช คสช. ยัดเยียดให้กับ พี่น้องประชาชน ที่ยืนอยู่เฉยๆ ว่า สร้างความรำคาญ ยัดข้อหา ม. 116 ให้กับประชาชนที่ทวงถามถึงความถูกต้อง
–
ไอ้ตูบเปรียบตัวเองเป็นดั่งเม่น ตัวเล็กจึงต้องระวังตัวด้วยการพองขน … แต่ผมว่าไม่ใช่ เพราะปฏิกรรมและการกระทำที่ไอ้ตูบได้ทำต่อ ประชาชน ผู้เสียภาษีให้เป็นเงินเดือนเลี้ยงไอ้ตูบและครอบครัวนั้น มันยิ่งกว่าหมาที่เนรคุณ ข้าวแดงแกงร้อนที่ประชาชนได้ให้ชัด ๆ
–
หากไอ้ตูบยังคงเนรคุณ และแสดงนิสัย หมาๆ อยู่อย่างนี้ ประชาชนอย่างเราๆ จะเลี้ยงหมานิสัยเหี้ยสมองควาย ….. ไว้ทำพรื๊อหล่าว?
–
เหย็ดแหม่ หัวดอ ไอ้ตูบประยุทธ์ จันทรโอชา
–
เสรีชน
ประชาชนอย่างเราๆ จะเลี้ยงหมานิสัยเหี้ยสมองควาย ….. ไว้ทำพรื๊อหล่าว?
ทรราช คสช. กวาดล้างผู้ต้องการประชาธิปไตย ด้วยข้อหา ความมั่นคง
———————————————————————————-
แม้ไอ้ตูบประยุทธ์จะกล่าวว่า การใช้คำสั่งมาตรา 44 หรือคำสั่งอื่นๆ ทุกมาตราต้องมีการตั้งประเด็นว่าจะใบ้เพราะอะไร ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ จะมาประกาศใช้วันนี้สัก 5 ราย ตนไม่เคยคิดอย่างนั้น มีแต่ว่าจะทำอย่างไรให้ลดความขัดแย้งลงไปให้งานเดินหน้า เจตนามีเท่านี้ กฎหมายคือกฎหมาย แต่วิธีการบริหารจัดการต้องไม่บิดเบือนสิ่งทีทำวันนี้ ขอให้เข้าใจตรงกันว่าตนและรัฐบาล (ทรราช คสช.) มีเจตนาบริสุทธิ์ ขอให้ไว้วางใจกัน
—
อีกทั้งไอ้ตูบยังเห่าหอนต่ออีกว่า
—
"ผมยืนตรงนี้โดนด่าทั้งวัน ทำดีก็โดน ทำไม่ดียิ่งโดนหนักมากไปอีก ตนระวังตัวเองเสมอ ให้อภัยผมเถอะ อาจารย์สมคิดก็ให้อภัยผมเถอะนะ ผมมีอารมณ์บ้างนิดหน่อยเหมือนกับ"เม่น"มันต้องพองขนไว้ก่อน เพราะคนชอบมารังแกผม เพราะผมตัวเล็กกว่า"ไอ้ตูบกล่าว
–
หากเรามองด้วยใจเป็นธรรม เราจะพบความระยำโกหก ตอแหล จากไอ้ตูบตัวนี้ ไม่เว้นแต่ละวัน และด้วยข้อหาที่ ทรราช คสช. ยัดเยียดให้กับ พี่น้องประชาชน ที่ยืนอยู่เฉยๆ ว่า สร้างความรำคาญ ยัดข้อหา ม. 116 ให้กับประชาชนที่ทวงถามถึงความถูกต้อง
–
ไอ้ตูบเปรียบตัวเองเป็นดั่งเม่น ตัวเล็กจึงต้องระวังตัวด้วยการพองขน … แต่ผมว่าไม่ใช่ เพราะปฏิกรรมและการกระทำที่ไอ้ตูบได้ทำต่อ ประชาชน ผู้เสียภาษีให้เป็นเงินเดือนเลี้ยงไอ้ตูบและครอบครัวนั้น มันยิ่งกว่าหมาที่เนรคุณ ข้าวแดงแกงร้อนที่ประชาชนได้ให้ชัด ๆ
–
หากไอ้ตูบยังคงเนรคุณ และแสดงนิสัย หมาๆ อยู่อย่างนี้ ประชาชนอย่างเราๆ จะเลี้ยงหมานิสัยเหี้ยสมองควาย ….. ไว้ทำพรื๊อหล่าว?
–
เหย็ดแหม่ หัวดอ ไอ้ตูบประยุทธ์ จันทรโอชา
–
เสรีชน
ไอ้ตูบประยุทธ์ มึงกำลังทำร้าย โคตรพ่อ โคตรแม่ ของมึงเอง....สัส
https://www.facebook.com/nick.ragan.92/videos/1613381925649709/
ไอ้ตูบประยุทธ์ มึงกำลังทำร้าย โคตรพ่อ โคตรแม่ ของมึงเอง....สัส
https://www.facebook.com/nick.ragan.92/videos/1613381925649709/
กกต.คลอด 8 ข้อห้าม 6ข้อทำได้ ไลค์-แชร์ข้อมูลผิด พ.ร.บ.ประชามติโทษหนัก
การลุกฮือของประชาชนที่ถูกทรราช คสช. กดขี่ คุมขัง มีโอกาสเกิดสุงมาก
สรุป การลุกฮือของประชาชนที่ถูกกดขี่ ตุมขัง มีโอกาสเกิดมากกว่า
--------------------------------------------------------------------------------------
อนาคตการเมืองไทยกำลังจะเจอกับอะไร เช่น
รัฐประหารซ้อน,
เป็นไปตาม road map,
การนองเลือด
ประชาธิปไตยครึ่งใบ,
hybrid regime
หรือการลุกฮือขึ้นต่อต้านรัฐบาลทหาร
-
คุยกับประจักษ์ ก้องกีรติ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ที่ทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของประชาชนในเหตุการณ์ 14 ตุลา และศึกษาเรื่องความรุนแรงในการเลือกตั้ง โดยวาระนี้คงหนีไม่พ้นการพูดคุยกันเรื่องร่างรัฐธรรมนูญ การทำประชามติ ไปจนถึงวิเคราะห์สถานการณ์ช่วงเปลี่ยนผ่านว่าจะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง และทางออกจากรัฐทหารมีมากน้อยเพียงไหน
-
เมื่อพิจารณาจากปัจจัยแวดล้อมทั้งหมด คิดว่าอนาคตการเมืองไทยกำลังจะเจอกับอะไร เช่น รัฐประหารซ้อน, เป็นไปตาม road map, การนองเลือด ประชาธิปไตยครึ่งใบ, hybrid regime หรือการลุกฮือขึ้นต่อต้านรัฐบาลทหาร
-
อนาคตการเมืองไทยเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน เป็นเรื่องที่คาดเดาได้ยาก เพราะมีปัจจัยซับซ้อนหลายอย่างที่สะสมผูกเป็นปมเงื่อนที่ยากแก้การแก้ไขใน ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และในระยะ "เปลี่ยนผ่าน" ที่เปราะบางและอ่อนไหวนี้ ลำพังปัจจัยในระดับตัวบุคคล (หมายถึงการตัดสินใจต่างๆ ของชนชั้นนำหยิบมือเล็กๆ) ก็สามารถพลิกผันการเมืองไทยได้ให้ออกหัวออกก้อยได้ แต่สำหรับ scenario ที่เป็นไปได้หลากหลายดังที่ถามมา ผมคิดว่ารัฐประหารซ้อนมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยที่สุด ไม่ใช่ว่าจะถึงกับเป็นไปไม่ได้ แต่เท่าที่ดูสถานการณ์ปัจจุบัน มันยากมาก เพราะกองทัพค่อนข้างเป็นเอกภาพโดยเฉพาะในระดับนำ เนื่องจากถูกยึดกุมโดยขั้วเดียวกลุ่มเดียวมาเป็นเวลาเกือบทศวรรษ ขั้วอื่นๆ ที่ไม่อยู่ในสายคุมอำนาจปัจจุบันถูกเตะโด่งหรือถูกสกัดกั้นออกจากสายอำนาจ จึงยากที่จะมีการรัฐประหารซ้อนในกองทัพเกิดขึ้นได้ในระยะใกล้นี้
-
แต่แน่นอนว่า roadmap ที่จะมีการเลือกตั้งในปลายปี 2560 นั้นไม่ได้ราบเรียบมีโอกาสสะดุดได้ตลอดทาง อย่าลืมว่าการเลือกตั้งเองก็เคยถูกเลื่อนมาจาก roadmap เดิมแล้ว หัวเลี้ยวหัวต่ออยู่ที่ประชามติ ถ้าประชามติรัฐธรรมนูญผ่านและนำไปสู่การเลือกตั้งและไม่มีอุบัติเหตุเกิด ขึ้นกลางทางระหว่างนั้น หลังเลือกตั้ง สังคมไทยก็จะเผชิญกับการสถาปนาระบอบเผด็จการอำนาจนิยมที่แฝงตัวมาในร่าง ประชาธิปไตย (อย่างน้อยเอาไว้แสดงต่อนานาชาติ เพื่อให้ระบอบมันพอดูมีความชอบธรรม) ที่ชนชั้นนำในระบบราชการโดยเฉพาะกองทัพจะมีอำนาจในการกำกับควบคุมการเมือง ไทย โดยสถาบันทางการอย่างการเลือกตั้ง พรรคการเมือง รัฐสภา จะเป็นเพียงสถาบันพิธีกรรมที่ไม่ได้มีอำนาจอะไรมากนัก คือ จะเป็นระบอบที่ถอยไปไกลกว่าระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบสมัยอดีตนายกฯ เปรม เรียกว่าประชาธิปไตยแบบเศษเสี้ยวจะดีกว่า เพราะมันไม่ถึงครึ่ง
-
อย่าลืมว่าสมัยรัฐธรรมนูญ 2521 เรายังไม่มีองค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญที่มีอำนาจล้นฟ้าแบบในร่างรัฐ ธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่สามารถขัดขวางการทำงานของรัฐบาลหรือทำให้รัฐบาลล้มไป ได้ตลอดเวลา ยังไม่ต้องพูดถึงว่านายกฯ ก็มีแนวโน้มว่าจะไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง พูดง่ายๆ เจตนารมณ์ของประชาชนที่แสดงออกผ่านการใช้สิทธิเลือกตั้งมันแทบจะไม่สามารถ กำหนดทิศทางของประเทศได้เลย คราวนี้แหละจะกลายเป็น "ประชาธิปไตย 4 วินาที" ของจริง คือเลือกตั้งเสร็จแล้วอำนาจประชาชนก็แทบหมดไปทันที กระบวนการตั้งรัฐบาลและการตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐบาลจะหลุดไปอยู่ในมือของ องค์กร "อิสระ" และกลุ่มบุคคลต่างๆ ที่ไม่ได้มาจากการเลือกของประชาชนเลย โดยเฉพาะส.ว. 250 คนที่จะมาจากการแต่งตั้งโดยคสช. องค์กรและกลุ่มบุคคลเหล่านี้จะกลายเป็นกลุ่มอำนาจที่ทรงพลัง
-
พูดง่ายๆ ว่าเราไม่ได้ถอยกลับไปสู่ระบอบ "เปรมาธิปไตย" เพราะระบอบที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้พยายามสร้างขึ้นมันเป็นระบอบเผด็จการ อำนาจนิยมในรูปแบบใหม่ที่ต่างไปจากประชาธิปไตยครึ่งใบสมัยยุคเปรม เป็นการใช้อำนาจร่วมกันระหว่างชนชั้นนำข้าราชการ ศาลและองค์กรอิสระโดยมีรัฐบาลและรัฐสภาเป็นเครื่องประดับ และทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้การชี้นำของกองทัพ เป็นระบอบ "อำนาจนิยมแบบไทยๆ"
-
นี่คือพิมพ์เขียวที่ชนชั้นนำในปัจจุบันพยายามสร้างขึ้น และต้องเข้าใจว่าไม่ใช่เพื่อระยะเปลี่ยนผ่าน แต่เค้าตั้งใจให้มันเป็นระบอบถาวร ถามว่าระบอบดังกล่าวจะสร้างได้สำเร็จและจะอยู่คงทนหรือไม่ อันนี้ตอบลำบาก แต่ถ้าดูจากพลวัตรการเมืองไทยตั้งแต่หลังเหตุการณ์พฤษภา 2535 เป็นต้นมา ไม่มีกลุ่มชนชั้นนำไหนสถาปนาอำนาจได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดไม่ว่าจะเป็นชน ชั้นนำจากการเลือกตั้งหรือชนชั้นนำจากกองทัพ การรัฐประหาร 2534 และ 2549 ล้มรัฐบาลพลเรือนจากการเลือกตั้งได้ก็จริง แต่ก็ไม่สามารถสถาปนาระบอบเผด็จการที่มีเสถียรภาพขึ้นมาแทนที่ได้ คือเราไม่มีทั้ง consolidation of democracy และ consolidation of authoritarianism ถ้าเราดูข้อเท็จจริงง่ายๆ หลังปี 2535 เป็นต้นมา ไม่มีระบอบไหนหรือใครอยู่ในอำนาจได้เกิน 5 ปี ห้าปีนี่ยาวสุดแล้ว
-
ในเมืองไทย อำนาจและระบอบการเมืองมันสวิงไปมาตลอด เพราะชนชั้นนำมันมีหลายกลุ่มไม่เป็นเอกภาพและมวลชนตื่นตัวทางการเมืองมาก ขึ้น การลุกฮือขึ้นของประชาชนเพื่อต่อต้านและล้มรัฐบาลเกิดขึ้นให้เห็นมาตลอด ตั้งแต่ปี 2535 ฉะนั้นเราไม่อาจตัดความเป็นไปได้นี้ออกไป เพราะประวัติศาสตร์มันมีบทเรียนให้เห็นมาหลายครั้ง และเราต้องไม่ลืมว่าทศวรรษที่ผ่านมาคือ ทศวรรษที่การตื่นตัวและการมีส่วนร่วมของประชาชนไทยอยู่ในระดับที่สูงที่สุด แล้ว ภาวะสงบตอนนี้เป็นภาวะชั่วคราวเท่านั้น เทียบกันแล้วโอกาสที่จะเกิดการขบวนการประท้วงของมวลชนเพื่อล้มรัฐบาลมี มากกว่าการรัฐประหารซ้อน แต่ต้องอาศัยสถานการณ์ที่สุกงอมมากๆ บวกกับสิ่งที่เรียกว่า "ชนวน" หรือน้ำผึ้งหยดเดียว ซึ่งหมายถึงการตัดสินใจที่ผิดพลาดมากๆ ของผู้กุมอำนาจเองที่ทำให้ตัวเองสูญเสียความชอบธรรมอย่างฉับพลันและรุนแรง มันเป็นสิ่งที่เราคาดการณ์ล่วงหน้าไม่ได้เลยว่าอะไรจะคือชนวนหรือน้ำผึ้งหยด นั้น ตอน14 ตุลาฯ ที่ล้มรัฐบาลถนอม ก็คือการจับกุมแกนนำเรียกร้องรัฐธรรมนูญ ตอนพฤษภา35 คือการ "เสียสัตย์เพื่อชาติ" ของพลเอกสุจินดา ตอนล้มรัฐบาลทักษิณคือ การขายหุนเทมาเส็ก และตอนล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์คือ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม
-
สรุป รัฐประหารซ้อนโอกาสน้อย การลุกฮือของประชาชนมีโอกาสมากกว่าแต่สถานการณ์ต้องสุกงอม ถ้าไม่มีการเคลื่อนไหวมวลชน แนวโน้มก็คือ การเมืองไทยเดินหน้าสู่ระบอบเผด็จการจำแลงในนามประชาธิปไตยที่เหลือแต่รูป แบบที่กลวงเปล่า ที่ชนชั้นนำในกองทัพเป็นผู้คุมทิศทางประเทศ
-
ในฐานะที่ศึกษาเรื่องการใช้ความรุนแรงในทางการเมือง เห็นเงื่อนไขของการใช้ความรุนแรงในการเมืองไทยยุคปัจจุบันหรือไม่
-
เงื่อนไขของความรุนแรงเกิดขึ้นได้ง่ายในปัจจุบัน เพราะชนชั้นนำทยอยปิดประตูของการแก้ไขความขัดแย้งด้วยสันติวิธีลงไปทีละบานๆ จนแทบไม่เหลือแล้ว ไม่เปิดให้มีเวทีที่ความเห็นต่างสามารถมาแลกเปลี่ยนกันได้อย่างอิสระเลย และถ้าความขัดแย้งแตกต่างมันไม่สามารถมีทางออกตามช่องทางในระบบ ผ่านสถาบันทางการเมือง และกติกาที่ทุกฝ่ายยอมรับร่วมกัน มันก็กลายเป็นเงื่อนไขของการเกิดความรุนแรง ซึ่งชนชั้นนำเป็นฝ่ายสร้างขึ้นเอง โดยเฉพาะร่างรัฐธรรมนูญที่ไม่ตอบโจทย์ปัญหาที่สังคมเผชิญอยู่ มิหนำซ้ำยังแก้ไขได้ยากหรือจริงๆ ต้องพูดว่าแทบแก้ไขไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ซึ่งมันเท่ากับการวางระเบิดเวลาไว้ในอนาคต
-
จริงๆ เงื่อนไขของการเกิดความรุนแรงในเมืองไทยมีอยู่ตลอดในประวัติศาสตร์ เพราะการสร้างระบอบการเมืองแบบประชาธิปไตยและการสถาปนาสถาบันการเมืองให้ เข้มแข็งถูกตัดตอนตลอดเวลา พอกลไกในระบบอ่อนแอและสถาบันการเมืองต่างๆ อ่อนแอ การเมืองจึงจบลงที่การใช้ความรุนแรงได้ง่าย การรัฐประหารเป็นความรุนแรงทางการเมืองที่ชัดเจนและเกิดขึ้นบ่อยครั้งที่สุด ในการเมืองไทย
-
การเมืองไทยไม่ใช่การเมืองที่สงบ ความคิดว่าเมืองไทยเป็นสยามเมืองยิ้มนั้นเป็นมายาคติที่ใหญ่ที่สุด เราเป็นสังคมที่มีการนองเลือดและการปราบปรามประชาชนโดยรัฐบ่อยครั้งมากที่ สุดประเทศหนึ่ง ฉะนั้นเงื่อนไขในการเกิดความรุนแรงมันมีมาตลอดประวัติศาสตร์ ยิ่งตั้งแต่ช่วงปี 2548 เป็นต้นมา ที่เงื่อนไขในการใช้ความรุนแรงเกิดขึ้นทั้งจากรัฐและขบวนการประชาชนเอง คือทิศทางอันหนึ่งของขบวนการภาคประชาชนกลุ่มต่างๆ หลัง 2548 มีแนวโน้มของการเคลื่อนไหวแบบแตกหักเผชิญหน้าและไม่ปฏิเสธยุทธวิธีรุนแรง เสียทั้งหมด จึงทำให้เงื่อนไขในการเกิดความรุนแรงมีสูงขึ้น
-
แต่เปรียบเทียบกันแล้ว เงื่อนไขในการเกิดความรุนแรงก็ยังคงเกิดจากรัฐมากที่สุด เมื่อชนชั้นนำที่ควบคุมรัฐอยู่รู้สึกว่าตนเองเสียการควบคุมก็จะใช้ความ รุนแรงเพื่อกระชับอำนาจ เช่น รัฐประหารหรือปราบปรามประชาชน หรือในระยะหลังรูปแบบที่น่าสนใจคือ ชนชั้นนำบวกกับภาคประชาชนบางกลุ่มจงใจสร้างวิกฤตให้เกิดขึ้นบนท้องถนนเพื่อ สร้างสภาวะให้ดูเหมือน "รัฐอัมพาต" ที่เรียกกันว่ารัฐล้มเหลว แต่มันไม่ได้ล้มเหลวตามธรรมชาติ มันถูกจงใจสร้างขึ้น ปูทางไปสู่การรัฐประหาร คือ กลไกรัฐด้านความมั่นคงเองปล่อยให้ความรุนแรงยืดเยื้อโดยตัวเองนิ่งเฉยเพื่อ สร้างความชอบธรรมให้กับการเข้ามายึดอำนาจเพื่อรักษาความสงบของตนเอง ซึ่งเป็นอะไรที่มหัศจรรย์
-
ดังนั้น เมื่อเทียบสัดส่วนกันแล้ว รัฐเป็นฝ่ายที่ใช้ความรุนแรงมากที่สุดและทำให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตมาก ที่สุด และปัจจุบันเราอยู่ในรัฐที่ใช้อำนาจเข้มข้นที่สุดนับจาก 6 ตุลา 2519 เป็นต้นมา มีลักษณะ repressive มากเพื่อสร้างบรรยากาศแห่งความหวาดกลัว และควบคุมประชาชนไม่ให้คิดเห็นแตกต่างจากรัฐ และจากร่างรัฐธรรมนูญบวกคำถามพ่วงที่ให้ส.ว. มีส่วนเลือกตั้งนายกฯ ด้วย ก็สะท้อนชัดเจนว่าผู้มีอำนาจยังต้องการสืบทอดและรักษาอำนาจต่อไป รัฐแบบนี้เมื่อเผชิญกับการต่อต้านและการเคลื่อนไหวจากประชาชน ย่อมไม่ลังเลที่จะยกระดับการใช้อำนาจปราบปรามประชาชนด้วยความรุนแรง อย่างที่เห็นชัดเจนในประวัติศาสตร์ระยะใกล้ในปี 2553
-
เงื่อนไขที่จะทำให้เกิดความรุนแรงน่าจะอยู่ที่ช่วงหลังเลือกตั้ง ถ้าผลการเลือกตั้งออกมาในลักษณะที่ผิดคาด ทำให้ชนชั้นนำจากระบอบรัฐประหารสูญเสียอำนาจในการควบคุม อาจมีการใช้กำลังเพื่อกระชับอำนาจกลับมา หรือรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งพยายามจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งทำได้ยากมาก ก็อาจเผชิญกับแรงโต้กลับอย่างรุนแรง
-
นอกจากนี้ เงื่อนไขของความรุนแรงอาจเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงการทำประชามติ กรณีที่ประชามติไม่ผ่าน แล้วผู้มีอำนาจตัดสินใจนำรัฐธรรมนูญที่มีความไม่เป็นประชาธิปไตยยิ่งกว่า ร่างนี้มาประกาศใช้ เท่ากับไม่ฟังเสียงสะท้อนของประชาชน ณ จุดนั้นอาจสร้างเงื่อนไขของการเผชิญหน้าและความรุนแรงขึ้นได้
-
คิดอย่างไรกับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ คิดว่าจะได้ประกาศใช้ไหม และหากประกาศใช้จริง ประเด็นใดที่ concern มากที่สุด
-
รัฐธรรมนูญฉบับนี้จริงๆ วิเคราะห์ง่าย ไม่มีอะไรซับซ้อนเพราะเจตนารมณ์ของผู้ร่างและผู้มีอำนาจเบื้องหลังผู้ร่าง นั้นมีความชัดเจน คือ อย่างที่ตอบไปในตอนแรกว่า ร่างนี้ต้องการควบคุม "ประชาธิปไตยแบบเสียงข้างมาก" โดยลดทอนอำนาจของพรรคการเมือง ผู้เลือกตั้งและรัฐบาลตามระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาปรกติ และถ่ายโอนอำนาจไปให้กับชนชั้นนำเสียงข้างน้อยที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง คือกองทัพ ราชการพลเรือน ศาล องค์กรอิสระ แต่ก็ต้องรักษาฉากหน้าของประชาธิปไตยให้พอมีอยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นจะไม่มีความชอบธรรม เช่น ยอมรับให้มีการจัดการเลือกตั้ง มีส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้งในรัฐสภา แต่ผ่านระบบเลือกตั้งแบบใหม่ที่ทำให้ระบบพรรคการเมืองอ่อนแอ กลายเป็นเบี้ยหัวแตก ซึ่งดูแล้วคสช. ค่อนข้างมั่นใจว่าจะสามารถผลักดันร่างนี้ให้ผ่านประชามติได้ แบบเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในการทำประชามติรัฐธรรมนูญปี 2550 อย่าลืมเราอยู่ในรัฐที่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพประชาชนยิ่งกว่าตอนปี 2550 และรัฐคงทุ่มทรัพยากรและใช้กลไกความมั่นคงทั้งหนักและเบาทุกอย่างภายใต้การ ควบคุมเพื่อผลักดันรัฐธรรมนูญนี้ให้ผ่านประชามติให้ได้
-
แต่สถานการณ์เริ่มไม่แน่นอน เพราะกลุ่มต่างๆ ที่อยู่ต่างขั้วต่างสีกันค่อยๆ ทยอยออกมาประกาศไม่รับร่าง แม้แต่พรรคประชาธิปัตย์ก็ออกมาประกาศไม่รับคำถามพ่วงและชี้ว่าไม่เห็นด้วย กับเนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ คืออาจจะพูดได้ว่าทั้งในภาคการเมืองและภาคประชาสังคม ตอนนี้เริ่มมีการก่อตัวของฉันทามติบางอย่างที่จะไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับ นี้ แน่นอนว่าแต่ละกลุ่มแต่ละพรรคมีเหตุผลและแรงจูงผลักดันต่างกันในการไม่รับ ร่าง แต่ผลก็คือโมเมนตัมตอนนี้มันไปในทางไม่รับ เพราะคนเริ่มเห็นแล้วว่าเนื้อหาไม่ตอบโจทก์การแก้ปัญหาสังคมไทยอำนาจมันไป กระจุกตัวที่คนกลุ่มเดียวคือ ชนชั้นนำในระบบราชการ ตัดอำนาจและการมีส่วนของคนกลุ่มอื่นไปหมด ทั้งพรรคการเมือง ภาคประชาสังคม และประชาชนผู้เลือกตั้งทั่วไปคือคนเทียบข้อดีกับข้อเสียแล้ว เห็นว่าข้อเสียมันมีมากกว่า
-
คือเท่าที่ผมพยายามตามอ่านอย่างละเอียดข้อดีข้อเดียวของฝ่ายรัฐบาลและผู้ สนับสนุนร่างนี้ที่มีการยกมาก็คือการปราบโกง ยังไม่เห็นมีใครยกข้อดีข้ออื่นขึ้นมาชัดๆ เลย แต่รัฐธรรมนูญที่ตัดสิทธิเสรีภาพประชาชนและรวมศูนย์อำนาจกลับไปที่รัฐราชการ ส่วนกลางมันไม่มีทางปราบโกงได้ เพราะประวัติศาสตร์ไทยที่ผ่านมามันชี้ให้เห็นว่าระบบราชการรวมศูนย์ภายใต้ โครงสร้างรัฐแบบอุปถัมภ์คือต้นตอสำคัญของการคอร์รัปชั่นของสังคมไทย นี่แหละคือเนื้อดินที่หล่อเลี้ยงให้การคอร์รัปชั่นมันดำรงอยู่มาอย่างยาวนาน ถามว่าหลังรัฐประหารมานี้ คอร์รัปชั่นมันหายไปหรือไม่ มันไม่ได้หายไป แต่สื่อและประชาชนตรวจสอบไม่ได้ ใครก็ตรวจสอบเอาผิดไม่ได้ เพราะรัฐอำนาจนิยมมีอำนาจแบบเบ็ดเสร็จในมือปิดกั้นการตรวจสอบ ใครพยายามจะตรวจสอบก็จะโดนข่มขู่คุกคามหรือไม่ก็ถูกจับไปปรับทัศนคติ กรณีคอร์รัปชั่นที่ชวนสงสัยต่างๆ ก็ถูกทำให้เงียบหายไปด้วยอำนาจรัฐและด้วยการประดิษฐ์คำใหม่ๆ มาเรียกแทน จากคอมมิสชั่นก็กลายเป็น "ค่าที่ปรึกษา" ประชาชนกลุ่มต่างๆ ก็เริ่มเห็นประเด็นนี้แล้ว แม้แต่องค์กรประชาสังคมที่เคยสนับสนุนคสช.ในช่วงต้น ทำให้จุดขายเรื่องปราบโกงมันเลยไม่ค่อยมีน้ำหนักเพราะมันไม่ได้สร้างระบบการ เมืองที่โปร่งใสและอำนาจเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง มันแค่ลดทอนอำนาจนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง และเอาอำนาจไปให้ชนชั้นนำอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งใช้แทน โดยประชาชนและสื่อตรวจสอบควบคุมไม่ได้ บทเรียนจากทั่วโลกที่เขาประสบความสำเร็จในการปราบโกงก็ชี้ชัดแล้วว่าหัวใจ สำคัญคือ ความแข็งขันของสื่อและประชาชน รัฐธรรมนูญเฉยๆ ในฐานะกระดาษแผ่นหนึ่งมันปราบโกงไม่ได้
-
ดังนั้นโอกาสที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะถูกคว่ำในการลงประชามติมีอยู่ไม่ น้อย ถ้าบรรยากาศการลงประชามติมีเสรีภาพอย่างแท้จริงและมีองค์กรต่างชาติมาร่วม สังเกตการณ์ อย่างไรก็ตาม พอกระแสการไม่รับร่างมันเริ่มแพร่หลายออกไป ชัดเจนว่ากลุ่มผู้มีอำนาจรัฐเริ่มกลัวประชามติจะไม่ผ่าน และยิ่งใช้อำนาจอย่างเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ ในการปิดกั้นและปราบปรามประชาชนที่เห็นต่างจากรัฐ และตอนนี้ก็เริ่มมีสัญญาณว่าเราอาจไม่ได้ทำประชามติกันด้วยซ้ำ
-
ณ ตอนนี้ยังไม่เห็นกลุ่มไหนออกมาประกาศชัดๆ ว่ารับร่างรัฐธรรมนูญนี้แบบ 100% แบบว่าสนับสนุนแบบเต็มที่ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ดีจริงๆ อย่างมากก็บอกว่าไม่ขี้เหร่มาก พอรับได้ หรือบางคนบอกว่าให้รับไม่ใช่เพราะเห็นว่าดี แต่กลัวได้ฉบับที่แย่กว่านี้ คือในแง่หนึ่งก็ตลกดี มันเป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่มีใคร (นอกจากผู้ร่างเอง) ชื่นชมได้อย่างเต็มปากอย่างจริงใจว่ามันดีและมันสามารถแก้ปัญหาประเทศได้ นอกจากพรรคขนาดกลางบางพรรค ซึ่งเข้าใจได้อยู่แล้ว อันนี้ไม่มีอะไรน่าแปลกใจเลย เพราะพรรคดังกล่าวเป็นพรรคท้องถิ่นแบบเจ้าพ่อที่ไม่มีทั้งอุดมการณ์และ นโยบายเป็นจุดขาย และเป็นพรรคที่จะได้ประโยชน์จากระบบเลือกตั้งแบบใหม่มากที่สุด เพราะระบบเลือกตั้งใหม่มันเน้นให้เลือกตัวบุคคล เอาส.ส.เขตเป็นฐานและจากการคำนวณคร่าวๆ แล้วพรรคขนาดกลางจะได้ที่นั่งมากกว่าเดิมมากพอสมควร
-
สำหรับผมประเด็นที่น่าวิตกมากที่สุดคือ รัฐธรรมนูญฉบับนี้มันแทบไม่เปิดช่องให้มีการแก้ไข ลองไปอ่านดู เงื่อนไขต่างๆ ที่วางไว้มันแทบจะทำให้แก้ไขไม่ได้เลย ฉบับ 2550 ว่ายากแล้ว มาเจอฉบับนี้แทบจะปิดประตูตายในการแก้ไข ปัญหาก็คือรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีจุดอ่อนขอบกพร่องมากมาย ลดทอนอำนาจอธิปไตยของประชาชน และสร้างระบอบการเมืองของชนชั้นนำที่เป็นอำนาจนิยมในขณะเดียวกันก็เป็นระบบ ที่จะไม่มีประสิทธิภาพในการทำงาน ไม่ว่าใครจะขึ้นมาเป็นรัฐบาลบริหารประเทศ เพราะวางกลไกให้รัฐบาลอ่อนแอ ทำงานได้ลำบาก เป็นรัฐบาลที่สำนวนอังกฤษเรียกว่ารัฐบาลเป็ดง่อย เนื่องจากถูกออกแบบมาจากฐานของความกลัว กลัวประชาชน กลัวพรรคการเมืองมันจึงเป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่สอคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของ สังคมไทยที่ประชาชนทุกกลุ่มตื่นตัวทางการเมืองมากแล้ว และเราต้องการรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพในการผลักดันการแก้ปัญหายากๆ ที่รุมเร้าสังคมไทยอยู่มากมายนับไม่ถ้วนในปัจจุบัน การมีรัฐบาลอ่อนแอนี่จริงๆ มันไม่มีประโยชน์กับประเทศเลยนะ เพราะมันไม่มีศักยภาพที่จะผลิตหรือผลักดันนโยบายอะไรดีๆ ได้เลย มันมีแต่จะฉุดให้ประเทศหยุดนิ่งอยู่กับที่หรือไม่ก็ถอยหลังไปเรื่อยๆ ทีนี้พอรัฐธรรมนูญแทบไม่เปิดช่องให้แก้ไขได้ ก็เท่ากับมันทำให้สังคมไทยไม่มีทางออกในอนาคต และสร้างเงื่อนไขให้เกิดความรุนแรงอีกครั้ง
-
ดูจากร่างรัฐธรรมนูญ ชัดเจนว่าทหารต้องการสถาปนาอำนาจของตัวเองในทางการเมืองให้กลายเป็นสถาบัน ที่ได้รับการรับรองโดยรัฐธรรมนูญ คือ จะ "อยู่ยาว" คำถามคือทหารต้องการจะอยู่ยาวไปถึงเมื่อไร เป้าหมายของการอยู่ยาวคืออะไร
-
อย่างน้อย 5 ปีตามที่เขาประกาศ แต่ก็อาจจะนานกว่านั้น เพราะส.ว.ชุดแรกอยู่ในอำนาจ 5 ปี คือนานกว่ารัฐบาล จึงอาจกำหนดตัวคนเป็นนายกฯ ได้ถึง 2 ครั้ง ซึ่งเท่ากับ 8 ปี และบทเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญก็อาจถูกต่ออายุได้อีกโดยอ้างความจำเป็นของ สถานการณ์ที่ไม่ปกติ โดยเป้าหมายก็คือคุมการ "เปลี่ยนผ่าน" ซึ่งทหารย้ำอยู่บ่อยครั้ง ทุกคนทราบดีกว่าสังคมไทยกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่และในช่วง เปลี่ยนผ่านนี้ความสัมพันธ์ทางอำนาจและดุลอำนาจของชนชั้นนำทุกกลุ่มในสังคม ไทยกำลังปรับเปลี่ยนอย่างมโหฬาร ทหารไม่อาจยอมให้มีสุญญากาศเกิดขึ้นในระยะเปลี่ยนผ่านที่เปราะบางนี้ กองทัพเชื่อมั่นว่าตัวเองเท่านั้นที่สามารถคุมการเปลี่ยนผ่านนี้ให้สงบได้ แต่จริงๆ มันไม่ใช่แค่ความเชื่อ กองทัพมีผลประโยชน์ผูกพันในระบบที่ทำให้ต้องเข้ามาเป็นคนกำหนดทิศทางของการ เปลี่ยนผ่านซะเอง อย่าลืมว่ากองทัพเป็นชนชั้นนำเก่าแก่ที่ครองอำนาจในการเมืองไทยมาเป็นระยะ เวลายาวนาน แม้ว่าประเทศจะผ่านช่วงที่เข้าสู่ประชาธิปไตยอยู่เป็นระยะๆ แต่อำนาจของกองทัพไม่เคยหายไปจากการเมืองไทยโดยสิ้นเชิง เหมือนที่นักวิชาการบางคนเปรียบกองทัพว่าทำหน้าที่เสมือน "รัฐพันลึก" (แอเจนี เมริโอ) หรือ "รัฐคู่ขนาน" (พอลแชมเบอร์ และนภิสา ไวฑูรเกีรติ 2016) ในระบบการการเมืองไทย
-
หลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 กลุ่มชนชั้นนายทุนต้องกระโดดเข้ามาเล่นการเมืองเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชน ชั้นตัวเอง สำหรับกองทัพ ในช่วงวิกฤตการเมืองที่ผ่านมารวมทั้งในระยะเปลี่ยนผ่านนี้ เป็นช่วงที่สร้างความหวาดวิตกให้กับชนชั้นนำในกองทัพอย่างมาก เพราะปัจจัย 3 ประการคือ 1.ฐานความชอบธรรมของชนชั้นนำแบบประเพณีกำลังลดน้อยถอยลง 2.พรรคการเมืองกลับมีความเข้มแข็งและมีฐานเสียงมวลชนที่ขยายตัวใหญ่โตอย่าง ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน 3.การเกิดขึ้นของการเมืองแบบมวลชนที่มีคนเข้าร่วมมหาศาลและเป็นการเมืองที่ มีลักษณะเชิงอุดมการณ์ สามปัจจัยนี้มันทำให้กองทัพวิตกกังวลกับสถานะ อำนาจ และผลประโยชน์ตนเอง เพราะมันอยู่นอกเหนือการควบคุมของกองทัพ โดยเฉพาะในการเมืองแบบเลือกตั้งซึ่งเป็นพื้นที่ที่กองทัพไทยไม่มีความถนัด และไม่มีทักษะที่จะแข่งขันได้เลย ผิดกับกองทัพในหลายประเทศที่ปรับตัวเข้าสู่เกมการเลือกตั้งเพื่อรักษาอำนาจ ของตนเอง
-
ด้วยเหตุเหล่านี้กองทัพจึงต้องการมา "คุมเกม" เพื่อสถาปนาระเบียบการเมืองใหม่ new political order ในสถานการณ์ที่ระเบียบการเมืองเก่าที่ดำรงอยู่มายาวนานกำลังจะเสื่อมไป ในกระบวนการ "คุมเกม" นี้ ก็ลดทอนอำนาจของพรรคการเมืองให้อ่อนแอลง ทำให้พรรคการเมืองเชื่องและการเลือกตั้งไม่เป็นภัยคุกคามสำหรับชนชั้นนำเดิม อีกต่อไป ในขณะเดียวกันก็กดปราบภาคประชาชนทุกสีให้สงบราบคาบเพื่อควบคุมไม่ให้มีการ เคลื่อนไหวมวลชนขนานใหญ่ได้ในช่วงเปลี่ยนผ่าน
-
ที่สำคัญ นอกจากสองกลุ่มนี้แล้ว ทหารกำลังปรับความสัมพันธ์กับกลุ่มอำนาจอื่นในเครือข่ายเดียวกันด้วย เช่น กลุ่มนายทุน แบบเดียวกับในสมัยสฤษดิ์ ที่ทหารกับกลุ่มทุนบางกลุ่มก่อตัวเป็นพันธมิตรที่เอื้อประโยชน์ให้กันและกัน ภาคประชาชนจำนวนมากก็คงตระหนักแล้วว่าหลังรัฐประหารครั้งนี้ มีการฉวยใช้อำนาจรัฐเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนมากมายมหาศาล มีการใช้กลไกรัฐไปรุกรานและละเมิดสิทธิชุมชนและชาวบ้านเพื่อให้กลุ่มทุน ดำเนินกิจกรรมสะสมทุนได้อย่างสะดวก ไม่ว่ามันจะผิดระเบียบหรือทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างไร คือจริงๆ ถ้าศึกษาประวัติศาสตร์ก็จะพบว่ากองทัพไทยตั้งแต่หลัง 2500 ไม่ได้มีอุดมการณ์ต่อต้านทุนหรือเป็นปฏิปักษ์กับระบบทุนนิยม กองทัพอยู่ข้างทุน เขาแค่ต้องการให้ทุนต้อง "จิ้มก้อง" เค้าต่างตอบแทนกัน และเพิ่มอำนาจและโอกาสให้ตนเข้ามาแสวงหาประโยชน์จากระบบทุนนิยมด้วย
-
นอกจากนี้สิ่งที่เราเห็นหลังรัฐประหารเป็นต้นมาคือ กระบวนการที่กองทัพสถาปนาให้ตนกลายเป็น hegemonic rulerกลุ่มใหม่ที่จะครองอำนาจในระยะยาวมิใช่คนที่ต้องคอยคอยแชร์อำนาจหรือ อยู่ใต้อำนาจของชนชั้นนำกลุ่มอื่น เห็นได้ชัดทั้งในเรื่องการเพิ่มงบประมาณ เพิ่มอภิสิทธิ์ เพิ่มเงินเดือน เพิ่มกำลังพล ขยายขอบเขตการใช้อำนาจ แก้กฎระเบียบต่างๆ จัดวางบุคลากรในกองทัพเข้าไปยึดกุมวิสาหกิจของรัฐ องค์กรของรัฐ รวมทั้งองค์กรอิสระต่างๆ ที่สำคัญที่สุดก็คือ เอาอำนาจตัวเองไปใส่ไว้ในรัฐธรรมนูญผ่านส.ว.แต่งตั้ง ซึ่งเท่ากับกองทัพมีพรรคการเมืองของตัวเอง มีเสียงในสภา 250 เสียง คิดเป็นครึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนฯ โดยไม่ต้องลงเลือกตั้ง
-
ในฐานะที่อาจารย์ศึกษาเรื่องการเมืองยุคเดือน ตุลา คิดว่าแนวโน้มที่ประชาชนจะลุกฮือขึ้นโค่นล้มรัฐบาลในครั้งนี้จะเกิดขึ้นได้ หรือไม่ เงื่อนไข บริบท และปัจจัยแวดล้อมอะไรที่จะทำให้ไม่เกิดขึ้น
-
อันที่จริง อย่างที่ผมกล่าวไปข้างต้น 1 ทศวรรษที่ผ่านมาคือทศวรรษที่ภาคประชาชนไทยเข้มแข็งที่สุดและมีส่วนร่วมมาก ที่สุด กลายเป็นตัวละครทางการเมืองที่มีบทบาทและมีอิทธิพลมาก แต่จนถึงปัจจุบันนับเป็นเวลา 2 ปีแล้วหลังการรัฐประหาร ที่ถามว่าทำไมเราไม่เห็นการลุกฮือขึ้นของประชาชนเพื่อต่อต้านรัฐบาล ผมคิดว่ามีปัจจัย 2 ประการ ประการแรก คือระดับการควบคุมและละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนโดยรัฐบาลหลังการรัฐ ประหาร และประการที่ 2 ความแตกแยกแบ่งขั้ว (polarization) ระหว่างภาคประชาชนเอง ในประการแรก ข้อมูลและรายงานจำนวนมากชี้ให้เห็นว่าระบอบรัฐประหารครั้งนี้มีลักษณะ repressive สูงกว่ารัฐบาลรัฐประหารในปี 2549 มาก ตั้งแต่วันที่ยึดอำนาจก็มีการจับกุมคุมขังและล็อคตัวแกนนำนักเคลื่อนไหว ทันที จนถึงทุกวันนี้ระดับของการควบคุมและปิดกั้นก็ยังไม่ลดลง แม้แต่กลุ่มนักศึกษาก็ยังถูกจับกุมติดคุกแม้ว่าจะเคลื่อนไหวอย่างสงบสันติ เพียงใดก็ตาม และการควบคุมปิดกั้นนี้มีทีท่าจะเพิ่มขึ้นเมื่อการทำประชามติใกล้เข้ามา จึงเป็นสาเหตุที่เข้าใจได้ที่ภายใต้บรรยากาศแห่งความหวาดกลัวเช่นนี้ การเคลื่อนไหวจากภาคประชาชนไม่ปรากฏ เพราะไม่มีใครอยากเสี่ยงตาย เสี่ยงคุกเสี่ยงตารางกับอนาคตการเมืองข้างหน้าที่ยังมองไม่เห็นทางออกหรือ ทางเลือกที่ชัดเจน และที่ผ่านมาคนที่ตายก่อนคือประชาชนคนธรรมดา และในสังคมนี้ถ้าคุณเป็นชาวบ้าน เป็นคนจน เมื่อตายไปแล้วก็ไม่สามารถแสวงหาความยุติธรรมได้อีก ฉะนั้นถ้ามองจากตรงนี้ มันเข้าใจได้มากๆ เลยว่าทำไม "ความเคลื่อนไหวไม่ปรากฏ" การไปติเตียนต่อว่าต่อขานประชาชนด้วยกัน ผมว่ามันไม่ค่อยแฟร์นัก
-
ส่วนเงื่อนไขที่เป็นอุปสรรคประการที่สองก็คือ การแบ่งขั้วของภาคประชาชนไทย มันไม่เหมือนตอน 14 ตุลาฯ หรือตอนพฤษภา 2535 ที่ตอนนั้นมันชัดเจน เป็นความขัดแย้งระหว่างประชาชนสู้กับรัฐ ประชาชนแม้จะมีแนวคิดต่างกันบ้าง แต่ชัดเจนว่ามีฉันทามติบางอย่างร่วมกันในปี 16 และปี 35 คือ ไม่ยอมรับการปกครองแบบเผด็จการทหารอีกต่อไปและเชื่อว่าสังคมไทยมีทางเลือก ที่ดีกว่าถูกปกครองด้วยระบอบคณาธิปไตยของกองทัพ แต่ตอนนี้ฉันทามติแบบนี้มันไม่เหลืออยู่แล้ว ภาคประชาชนแตกเป็นสองขั้วอย่างที่ทุกคนทราบดี โดยในขั้วหนึ่งยังมีความเชื่อว่าการมีทหารปกครองนั้นยังไงก็แย่น้อยกว่า นักการเมือง คือไม่ใช่ว่าทหารบริหารประเทศดีกว่ามีประสิทธิภาพกว่าหรือโปร่งใสกว่า แต่พวกเขาเกลียดนักการเมืองมากกว่า คือมันเป็นการเมืองที่ขับดันด้วยความเกลียดชัง
-
ผลของการแบ่งขั้วนี้ทำให้ชนชั้นนำในปัจจุบันปกครองง่าย หรือพูดอีกอย่างก็ได้ว่าคณะรัฐประหารเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์มากที่สุดจาก สภาวะสังคมแบ่งขั้ว ไม่ว่าการบริหารประเทศจะผิดพลาดหรือขาดประสิทธิภาพอย่างไร แต่ก็ยังปกครองได้สบายๆ เพราะกลุ่มอื่นๆ ในสังคมไทยอ่อนแอและขาดพลังเนื่องจากไม่สามารถรวมพลังกันเพื่อผลักดันการ เปลี่ยนแปลงได้ เพราะความบาดหมางและความขัดแย้งรุนแรงที่สะสมในช่วงหลายปีที่ผ่านมามันมี อยู่สูง แม้แต่การสร้างแนวร่วมกว้างๆ ก็ยากที่จะเกิดขึ้น เพราะความไว้วางใจระหว่างกันในภาคประชาสังคมมันไม่เหลืออยู่ ซึ่งถามว่าเข้าใจได้ไหม เข้าใจได้ไม่ยากเลย เพราะความขัดแย้งมันยืดเยื้อเรื้อรังและความเกลียดชังระหว่างกันมันมีอยู่ สูง แต่ตราบใดที่สภาวะแบ่งขั้วอย่างที่ไม่สามารถประสานกันได้แม้แต่เรื่องเดียว แบบนี้ยังดำรงอยู่ ทหารก็จะสามารถปกครองต่อไปได้เรื่อยๆ
-
การออกจากระบอบชนชั้นนำของกองทัพในครั้งนี้ เป็นเรื่องยาก มันต้องการฉันทามติใหม่ new consensus ร่วมกันระหว่างกลุ่มต่างๆ ในภาคประชาชนว่าเราสามารถสร้างสังคมไทยที่มีอนาคตดีกว่านี้ โดยไม่ต้องตกอยู่ภายใต้ความหวาดกลัวและความเกลียดชัง แต่เป็นการเมืองของความหวังที่ประชาชนทุกกลุ่มสามารถร่วมกันกำหนดอนาคตของ บ้านเมืองตนเองได้ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าต้องรวมพลังกันในการเดินขบวนประท้วงอย่างเดียวเสมอไป มันอาจจะรวมพลังกันในรูปแบบอื่นๆ ได้หลากหลายมากมายตามแต่สถานการณ์ เช่น เฉพาะหน้านี้คือเริ่มจากการแสดงพลังร่วมกันในการลงคะแนนประชามติว่าประชาชน ทุกกลุ่มต้องการรัฐธรรมนูญที่มีเนื้อหาและกระบวนการที่ประชาชนสามารถมีส่วน ร่วมได้มากกว่าที่เป็นอยู่ มิใช่กำหนดมาแล้วโดยชนชั้นนำแบบเบ็ดเสร็จโดยที่ประชาชนไม่มีทางเลือก
-
แต่ทั้งหมดที่พูดนี้ ก็ตระหนักดีว่ามันยากมากๆ ที่จะเกิดขึ้นได้และเราอาจจะต้องอยู่กับการเมืองที่ไม่มีความหวังแบบนี้ไปอีกนานพอสมควร
-
ที่มา ประชาไท
Wed, 2016-04-27
การลุกฮือของประชาชนที่ถูกทรราช คสช. กดขี่ คุมขัง มีโอกาสเกิดสุงมาก
สรุป การลุกฮือของประชาชนที่ถูกกดขี่ ตุมขัง มีโอกาสเกิดมากกว่า
--------------------------------------------------------------------------------------
อนาคตการเมืองไทยกำลังจะเจอกับอะไร เช่น
รัฐประหารซ้อน,
เป็นไปตาม road map,
การนองเลือด
ประชาธิปไตยครึ่งใบ,
hybrid regime
หรือการลุกฮือขึ้นต่อต้านรัฐบาลทหาร
-
คุยกับประจักษ์ ก้องกีรติ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ที่ทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของประชาชนในเหตุการณ์ 14 ตุลา และศึกษาเรื่องความรุนแรงในการเลือกตั้ง โดยวาระนี้คงหนีไม่พ้นการพูดคุยกันเรื่องร่างรัฐธรรมนูญ การทำประชามติ ไปจนถึงวิเคราะห์สถานการณ์ช่วงเปลี่ยนผ่านว่าจะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง และทางออกจากรัฐทหารมีมากน้อยเพียงไหน
-
เมื่อพิจารณาจากปัจจัยแวดล้อมทั้งหมด คิดว่าอนาคตการเมืองไทยกำลังจะเจอกับอะไร เช่น รัฐประหารซ้อน, เป็นไปตาม road map, การนองเลือด ประชาธิปไตยครึ่งใบ, hybrid regime หรือการลุกฮือขึ้นต่อต้านรัฐบาลทหาร
-
อนาคตการเมืองไทยเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน เป็นเรื่องที่คาดเดาได้ยาก เพราะมีปัจจัยซับซ้อนหลายอย่างที่สะสมผูกเป็นปมเงื่อนที่ยากแก้การแก้ไขใน ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และในระยะ "เปลี่ยนผ่าน" ที่เปราะบางและอ่อนไหวนี้ ลำพังปัจจัยในระดับตัวบุคคล (หมายถึงการตัดสินใจต่างๆ ของชนชั้นนำหยิบมือเล็กๆ) ก็สามารถพลิกผันการเมืองไทยได้ให้ออกหัวออกก้อยได้ แต่สำหรับ scenario ที่เป็นไปได้หลากหลายดังที่ถามมา ผมคิดว่ารัฐประหารซ้อนมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยที่สุด ไม่ใช่ว่าจะถึงกับเป็นไปไม่ได้ แต่เท่าที่ดูสถานการณ์ปัจจุบัน มันยากมาก เพราะกองทัพค่อนข้างเป็นเอกภาพโดยเฉพาะในระดับนำ เนื่องจากถูกยึดกุมโดยขั้วเดียวกลุ่มเดียวมาเป็นเวลาเกือบทศวรรษ ขั้วอื่นๆ ที่ไม่อยู่ในสายคุมอำนาจปัจจุบันถูกเตะโด่งหรือถูกสกัดกั้นออกจากสายอำนาจ จึงยากที่จะมีการรัฐประหารซ้อนในกองทัพเกิดขึ้นได้ในระยะใกล้นี้
-
แต่แน่นอนว่า roadmap ที่จะมีการเลือกตั้งในปลายปี 2560 นั้นไม่ได้ราบเรียบมีโอกาสสะดุดได้ตลอดทาง อย่าลืมว่าการเลือกตั้งเองก็เคยถูกเลื่อนมาจาก roadmap เดิมแล้ว หัวเลี้ยวหัวต่ออยู่ที่ประชามติ ถ้าประชามติรัฐธรรมนูญผ่านและนำไปสู่การเลือกตั้งและไม่มีอุบัติเหตุเกิด ขึ้นกลางทางระหว่างนั้น หลังเลือกตั้ง สังคมไทยก็จะเผชิญกับการสถาปนาระบอบเผด็จการอำนาจนิยมที่แฝงตัวมาในร่าง ประชาธิปไตย (อย่างน้อยเอาไว้แสดงต่อนานาชาติ เพื่อให้ระบอบมันพอดูมีความชอบธรรม) ที่ชนชั้นนำในระบบราชการโดยเฉพาะกองทัพจะมีอำนาจในการกำกับควบคุมการเมือง ไทย โดยสถาบันทางการอย่างการเลือกตั้ง พรรคการเมือง รัฐสภา จะเป็นเพียงสถาบันพิธีกรรมที่ไม่ได้มีอำนาจอะไรมากนัก คือ จะเป็นระบอบที่ถอยไปไกลกว่าระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบสมัยอดีตนายกฯ เปรม เรียกว่าประชาธิปไตยแบบเศษเสี้ยวจะดีกว่า เพราะมันไม่ถึงครึ่ง
-
อย่าลืมว่าสมัยรัฐธรรมนูญ 2521 เรายังไม่มีองค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญที่มีอำนาจล้นฟ้าแบบในร่างรัฐ ธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่สามารถขัดขวางการทำงานของรัฐบาลหรือทำให้รัฐบาลล้มไป ได้ตลอดเวลา ยังไม่ต้องพูดถึงว่านายกฯ ก็มีแนวโน้มว่าจะไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง พูดง่ายๆ เจตนารมณ์ของประชาชนที่แสดงออกผ่านการใช้สิทธิเลือกตั้งมันแทบจะไม่สามารถ กำหนดทิศทางของประเทศได้เลย คราวนี้แหละจะกลายเป็น "ประชาธิปไตย 4 วินาที" ของจริง คือเลือกตั้งเสร็จแล้วอำนาจประชาชนก็แทบหมดไปทันที กระบวนการตั้งรัฐบาลและการตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐบาลจะหลุดไปอยู่ในมือของ องค์กร "อิสระ" และกลุ่มบุคคลต่างๆ ที่ไม่ได้มาจากการเลือกของประชาชนเลย โดยเฉพาะส.ว. 250 คนที่จะมาจากการแต่งตั้งโดยคสช. องค์กรและกลุ่มบุคคลเหล่านี้จะกลายเป็นกลุ่มอำนาจที่ทรงพลัง
-
พูดง่ายๆ ว่าเราไม่ได้ถอยกลับไปสู่ระบอบ "เปรมาธิปไตย" เพราะระบอบที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้พยายามสร้างขึ้นมันเป็นระบอบเผด็จการ อำนาจนิยมในรูปแบบใหม่ที่ต่างไปจากประชาธิปไตยครึ่งใบสมัยยุคเปรม เป็นการใช้อำนาจร่วมกันระหว่างชนชั้นนำข้าราชการ ศาลและองค์กรอิสระโดยมีรัฐบาลและรัฐสภาเป็นเครื่องประดับ และทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้การชี้นำของกองทัพ เป็นระบอบ "อำนาจนิยมแบบไทยๆ"
-
นี่คือพิมพ์เขียวที่ชนชั้นนำในปัจจุบันพยายามสร้างขึ้น และต้องเข้าใจว่าไม่ใช่เพื่อระยะเปลี่ยนผ่าน แต่เค้าตั้งใจให้มันเป็นระบอบถาวร ถามว่าระบอบดังกล่าวจะสร้างได้สำเร็จและจะอยู่คงทนหรือไม่ อันนี้ตอบลำบาก แต่ถ้าดูจากพลวัตรการเมืองไทยตั้งแต่หลังเหตุการณ์พฤษภา 2535 เป็นต้นมา ไม่มีกลุ่มชนชั้นนำไหนสถาปนาอำนาจได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดไม่ว่าจะเป็นชน ชั้นนำจากการเลือกตั้งหรือชนชั้นนำจากกองทัพ การรัฐประหาร 2534 และ 2549 ล้มรัฐบาลพลเรือนจากการเลือกตั้งได้ก็จริง แต่ก็ไม่สามารถสถาปนาระบอบเผด็จการที่มีเสถียรภาพขึ้นมาแทนที่ได้ คือเราไม่มีทั้ง consolidation of democracy และ consolidation of authoritarianism ถ้าเราดูข้อเท็จจริงง่ายๆ หลังปี 2535 เป็นต้นมา ไม่มีระบอบไหนหรือใครอยู่ในอำนาจได้เกิน 5 ปี ห้าปีนี่ยาวสุดแล้ว
-
ในเมืองไทย อำนาจและระบอบการเมืองมันสวิงไปมาตลอด เพราะชนชั้นนำมันมีหลายกลุ่มไม่เป็นเอกภาพและมวลชนตื่นตัวทางการเมืองมาก ขึ้น การลุกฮือขึ้นของประชาชนเพื่อต่อต้านและล้มรัฐบาลเกิดขึ้นให้เห็นมาตลอด ตั้งแต่ปี 2535 ฉะนั้นเราไม่อาจตัดความเป็นไปได้นี้ออกไป เพราะประวัติศาสตร์มันมีบทเรียนให้เห็นมาหลายครั้ง และเราต้องไม่ลืมว่าทศวรรษที่ผ่านมาคือ ทศวรรษที่การตื่นตัวและการมีส่วนร่วมของประชาชนไทยอยู่ในระดับที่สูงที่สุด แล้ว ภาวะสงบตอนนี้เป็นภาวะชั่วคราวเท่านั้น เทียบกันแล้วโอกาสที่จะเกิดการขบวนการประท้วงของมวลชนเพื่อล้มรัฐบาลมี มากกว่าการรัฐประหารซ้อน แต่ต้องอาศัยสถานการณ์ที่สุกงอมมากๆ บวกกับสิ่งที่เรียกว่า "ชนวน" หรือน้ำผึ้งหยดเดียว ซึ่งหมายถึงการตัดสินใจที่ผิดพลาดมากๆ ของผู้กุมอำนาจเองที่ทำให้ตัวเองสูญเสียความชอบธรรมอย่างฉับพลันและรุนแรง มันเป็นสิ่งที่เราคาดการณ์ล่วงหน้าไม่ได้เลยว่าอะไรจะคือชนวนหรือน้ำผึ้งหยด นั้น ตอน14 ตุลาฯ ที่ล้มรัฐบาลถนอม ก็คือการจับกุมแกนนำเรียกร้องรัฐธรรมนูญ ตอนพฤษภา35 คือการ "เสียสัตย์เพื่อชาติ" ของพลเอกสุจินดา ตอนล้มรัฐบาลทักษิณคือ การขายหุนเทมาเส็ก และตอนล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์คือ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม
-
สรุป รัฐประหารซ้อนโอกาสน้อย การลุกฮือของประชาชนมีโอกาสมากกว่าแต่สถานการณ์ต้องสุกงอม ถ้าไม่มีการเคลื่อนไหวมวลชน แนวโน้มก็คือ การเมืองไทยเดินหน้าสู่ระบอบเผด็จการจำแลงในนามประชาธิปไตยที่เหลือแต่รูป แบบที่กลวงเปล่า ที่ชนชั้นนำในกองทัพเป็นผู้คุมทิศทางประเทศ
-
ในฐานะที่ศึกษาเรื่องการใช้ความรุนแรงในทางการเมือง เห็นเงื่อนไขของการใช้ความรุนแรงในการเมืองไทยยุคปัจจุบันหรือไม่
-
เงื่อนไขของความรุนแรงเกิดขึ้นได้ง่ายในปัจจุบัน เพราะชนชั้นนำทยอยปิดประตูของการแก้ไขความขัดแย้งด้วยสันติวิธีลงไปทีละบานๆ จนแทบไม่เหลือแล้ว ไม่เปิดให้มีเวทีที่ความเห็นต่างสามารถมาแลกเปลี่ยนกันได้อย่างอิสระเลย และถ้าความขัดแย้งแตกต่างมันไม่สามารถมีทางออกตามช่องทางในระบบ ผ่านสถาบันทางการเมือง และกติกาที่ทุกฝ่ายยอมรับร่วมกัน มันก็กลายเป็นเงื่อนไขของการเกิดความรุนแรง ซึ่งชนชั้นนำเป็นฝ่ายสร้างขึ้นเอง โดยเฉพาะร่างรัฐธรรมนูญที่ไม่ตอบโจทย์ปัญหาที่สังคมเผชิญอยู่ มิหนำซ้ำยังแก้ไขได้ยากหรือจริงๆ ต้องพูดว่าแทบแก้ไขไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ซึ่งมันเท่ากับการวางระเบิดเวลาไว้ในอนาคต
-
จริงๆ เงื่อนไขของการเกิดความรุนแรงในเมืองไทยมีอยู่ตลอดในประวัติศาสตร์ เพราะการสร้างระบอบการเมืองแบบประชาธิปไตยและการสถาปนาสถาบันการเมืองให้ เข้มแข็งถูกตัดตอนตลอดเวลา พอกลไกในระบบอ่อนแอและสถาบันการเมืองต่างๆ อ่อนแอ การเมืองจึงจบลงที่การใช้ความรุนแรงได้ง่าย การรัฐประหารเป็นความรุนแรงทางการเมืองที่ชัดเจนและเกิดขึ้นบ่อยครั้งที่สุด ในการเมืองไทย
-
การเมืองไทยไม่ใช่การเมืองที่สงบ ความคิดว่าเมืองไทยเป็นสยามเมืองยิ้มนั้นเป็นมายาคติที่ใหญ่ที่สุด เราเป็นสังคมที่มีการนองเลือดและการปราบปรามประชาชนโดยรัฐบ่อยครั้งมากที่ สุดประเทศหนึ่ง ฉะนั้นเงื่อนไขในการเกิดความรุนแรงมันมีมาตลอดประวัติศาสตร์ ยิ่งตั้งแต่ช่วงปี 2548 เป็นต้นมา ที่เงื่อนไขในการใช้ความรุนแรงเกิดขึ้นทั้งจากรัฐและขบวนการประชาชนเอง คือทิศทางอันหนึ่งของขบวนการภาคประชาชนกลุ่มต่างๆ หลัง 2548 มีแนวโน้มของการเคลื่อนไหวแบบแตกหักเผชิญหน้าและไม่ปฏิเสธยุทธวิธีรุนแรง เสียทั้งหมด จึงทำให้เงื่อนไขในการเกิดความรุนแรงมีสูงขึ้น
-
แต่เปรียบเทียบกันแล้ว เงื่อนไขในการเกิดความรุนแรงก็ยังคงเกิดจากรัฐมากที่สุด เมื่อชนชั้นนำที่ควบคุมรัฐอยู่รู้สึกว่าตนเองเสียการควบคุมก็จะใช้ความ รุนแรงเพื่อกระชับอำนาจ เช่น รัฐประหารหรือปราบปรามประชาชน หรือในระยะหลังรูปแบบที่น่าสนใจคือ ชนชั้นนำบวกกับภาคประชาชนบางกลุ่มจงใจสร้างวิกฤตให้เกิดขึ้นบนท้องถนนเพื่อ สร้างสภาวะให้ดูเหมือน "รัฐอัมพาต" ที่เรียกกันว่ารัฐล้มเหลว แต่มันไม่ได้ล้มเหลวตามธรรมชาติ มันถูกจงใจสร้างขึ้น ปูทางไปสู่การรัฐประหาร คือ กลไกรัฐด้านความมั่นคงเองปล่อยให้ความรุนแรงยืดเยื้อโดยตัวเองนิ่งเฉยเพื่อ สร้างความชอบธรรมให้กับการเข้ามายึดอำนาจเพื่อรักษาความสงบของตนเอง ซึ่งเป็นอะไรที่มหัศจรรย์
-
ดังนั้น เมื่อเทียบสัดส่วนกันแล้ว รัฐเป็นฝ่ายที่ใช้ความรุนแรงมากที่สุดและทำให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตมาก ที่สุด และปัจจุบันเราอยู่ในรัฐที่ใช้อำนาจเข้มข้นที่สุดนับจาก 6 ตุลา 2519 เป็นต้นมา มีลักษณะ repressive มากเพื่อสร้างบรรยากาศแห่งความหวาดกลัว และควบคุมประชาชนไม่ให้คิดเห็นแตกต่างจากรัฐ และจากร่างรัฐธรรมนูญบวกคำถามพ่วงที่ให้ส.ว. มีส่วนเลือกตั้งนายกฯ ด้วย ก็สะท้อนชัดเจนว่าผู้มีอำนาจยังต้องการสืบทอดและรักษาอำนาจต่อไป รัฐแบบนี้เมื่อเผชิญกับการต่อต้านและการเคลื่อนไหวจากประชาชน ย่อมไม่ลังเลที่จะยกระดับการใช้อำนาจปราบปรามประชาชนด้วยความรุนแรง อย่างที่เห็นชัดเจนในประวัติศาสตร์ระยะใกล้ในปี 2553
-
เงื่อนไขที่จะทำให้เกิดความรุนแรงน่าจะอยู่ที่ช่วงหลังเลือกตั้ง ถ้าผลการเลือกตั้งออกมาในลักษณะที่ผิดคาด ทำให้ชนชั้นนำจากระบอบรัฐประหารสูญเสียอำนาจในการควบคุม อาจมีการใช้กำลังเพื่อกระชับอำนาจกลับมา หรือรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งพยายามจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งทำได้ยากมาก ก็อาจเผชิญกับแรงโต้กลับอย่างรุนแรง
-
นอกจากนี้ เงื่อนไขของความรุนแรงอาจเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงการทำประชามติ กรณีที่ประชามติไม่ผ่าน แล้วผู้มีอำนาจตัดสินใจนำรัฐธรรมนูญที่มีความไม่เป็นประชาธิปไตยยิ่งกว่า ร่างนี้มาประกาศใช้ เท่ากับไม่ฟังเสียงสะท้อนของประชาชน ณ จุดนั้นอาจสร้างเงื่อนไขของการเผชิญหน้าและความรุนแรงขึ้นได้
-
คิดอย่างไรกับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ คิดว่าจะได้ประกาศใช้ไหม และหากประกาศใช้จริง ประเด็นใดที่ concern มากที่สุด
-
รัฐธรรมนูญฉบับนี้จริงๆ วิเคราะห์ง่าย ไม่มีอะไรซับซ้อนเพราะเจตนารมณ์ของผู้ร่างและผู้มีอำนาจเบื้องหลังผู้ร่าง นั้นมีความชัดเจน คือ อย่างที่ตอบไปในตอนแรกว่า ร่างนี้ต้องการควบคุม "ประชาธิปไตยแบบเสียงข้างมาก" โดยลดทอนอำนาจของพรรคการเมือง ผู้เลือกตั้งและรัฐบาลตามระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาปรกติ และถ่ายโอนอำนาจไปให้กับชนชั้นนำเสียงข้างน้อยที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง คือกองทัพ ราชการพลเรือน ศาล องค์กรอิสระ แต่ก็ต้องรักษาฉากหน้าของประชาธิปไตยให้พอมีอยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นจะไม่มีความชอบธรรม เช่น ยอมรับให้มีการจัดการเลือกตั้ง มีส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้งในรัฐสภา แต่ผ่านระบบเลือกตั้งแบบใหม่ที่ทำให้ระบบพรรคการเมืองอ่อนแอ กลายเป็นเบี้ยหัวแตก ซึ่งดูแล้วคสช. ค่อนข้างมั่นใจว่าจะสามารถผลักดันร่างนี้ให้ผ่านประชามติได้ แบบเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในการทำประชามติรัฐธรรมนูญปี 2550 อย่าลืมเราอยู่ในรัฐที่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพประชาชนยิ่งกว่าตอนปี 2550 และรัฐคงทุ่มทรัพยากรและใช้กลไกความมั่นคงทั้งหนักและเบาทุกอย่างภายใต้การ ควบคุมเพื่อผลักดันรัฐธรรมนูญนี้ให้ผ่านประชามติให้ได้
-
แต่สถานการณ์เริ่มไม่แน่นอน เพราะกลุ่มต่างๆ ที่อยู่ต่างขั้วต่างสีกันค่อยๆ ทยอยออกมาประกาศไม่รับร่าง แม้แต่พรรคประชาธิปัตย์ก็ออกมาประกาศไม่รับคำถามพ่วงและชี้ว่าไม่เห็นด้วย กับเนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ คืออาจจะพูดได้ว่าทั้งในภาคการเมืองและภาคประชาสังคม ตอนนี้เริ่มมีการก่อตัวของฉันทามติบางอย่างที่จะไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับ นี้ แน่นอนว่าแต่ละกลุ่มแต่ละพรรคมีเหตุผลและแรงจูงผลักดันต่างกันในการไม่รับ ร่าง แต่ผลก็คือโมเมนตัมตอนนี้มันไปในทางไม่รับ เพราะคนเริ่มเห็นแล้วว่าเนื้อหาไม่ตอบโจทก์การแก้ปัญหาสังคมไทยอำนาจมันไป กระจุกตัวที่คนกลุ่มเดียวคือ ชนชั้นนำในระบบราชการ ตัดอำนาจและการมีส่วนของคนกลุ่มอื่นไปหมด ทั้งพรรคการเมือง ภาคประชาสังคม และประชาชนผู้เลือกตั้งทั่วไปคือคนเทียบข้อดีกับข้อเสียแล้ว เห็นว่าข้อเสียมันมีมากกว่า
-
คือเท่าที่ผมพยายามตามอ่านอย่างละเอียดข้อดีข้อเดียวของฝ่ายรัฐบาลและผู้ สนับสนุนร่างนี้ที่มีการยกมาก็คือการปราบโกง ยังไม่เห็นมีใครยกข้อดีข้ออื่นขึ้นมาชัดๆ เลย แต่รัฐธรรมนูญที่ตัดสิทธิเสรีภาพประชาชนและรวมศูนย์อำนาจกลับไปที่รัฐราชการ ส่วนกลางมันไม่มีทางปราบโกงได้ เพราะประวัติศาสตร์ไทยที่ผ่านมามันชี้ให้เห็นว่าระบบราชการรวมศูนย์ภายใต้ โครงสร้างรัฐแบบอุปถัมภ์คือต้นตอสำคัญของการคอร์รัปชั่นของสังคมไทย นี่แหละคือเนื้อดินที่หล่อเลี้ยงให้การคอร์รัปชั่นมันดำรงอยู่มาอย่างยาวนาน ถามว่าหลังรัฐประหารมานี้ คอร์รัปชั่นมันหายไปหรือไม่ มันไม่ได้หายไป แต่สื่อและประชาชนตรวจสอบไม่ได้ ใครก็ตรวจสอบเอาผิดไม่ได้ เพราะรัฐอำนาจนิยมมีอำนาจแบบเบ็ดเสร็จในมือปิดกั้นการตรวจสอบ ใครพยายามจะตรวจสอบก็จะโดนข่มขู่คุกคามหรือไม่ก็ถูกจับไปปรับทัศนคติ กรณีคอร์รัปชั่นที่ชวนสงสัยต่างๆ ก็ถูกทำให้เงียบหายไปด้วยอำนาจรัฐและด้วยการประดิษฐ์คำใหม่ๆ มาเรียกแทน จากคอมมิสชั่นก็กลายเป็น "ค่าที่ปรึกษา" ประชาชนกลุ่มต่างๆ ก็เริ่มเห็นประเด็นนี้แล้ว แม้แต่องค์กรประชาสังคมที่เคยสนับสนุนคสช.ในช่วงต้น ทำให้จุดขายเรื่องปราบโกงมันเลยไม่ค่อยมีน้ำหนักเพราะมันไม่ได้สร้างระบบการ เมืองที่โปร่งใสและอำนาจเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง มันแค่ลดทอนอำนาจนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง และเอาอำนาจไปให้ชนชั้นนำอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งใช้แทน โดยประชาชนและสื่อตรวจสอบควบคุมไม่ได้ บทเรียนจากทั่วโลกที่เขาประสบความสำเร็จในการปราบโกงก็ชี้ชัดแล้วว่าหัวใจ สำคัญคือ ความแข็งขันของสื่อและประชาชน รัฐธรรมนูญเฉยๆ ในฐานะกระดาษแผ่นหนึ่งมันปราบโกงไม่ได้
-
ดังนั้นโอกาสที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะถูกคว่ำในการลงประชามติมีอยู่ไม่ น้อย ถ้าบรรยากาศการลงประชามติมีเสรีภาพอย่างแท้จริงและมีองค์กรต่างชาติมาร่วม สังเกตการณ์ อย่างไรก็ตาม พอกระแสการไม่รับร่างมันเริ่มแพร่หลายออกไป ชัดเจนว่ากลุ่มผู้มีอำนาจรัฐเริ่มกลัวประชามติจะไม่ผ่าน และยิ่งใช้อำนาจอย่างเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ ในการปิดกั้นและปราบปรามประชาชนที่เห็นต่างจากรัฐ และตอนนี้ก็เริ่มมีสัญญาณว่าเราอาจไม่ได้ทำประชามติกันด้วยซ้ำ
-
ณ ตอนนี้ยังไม่เห็นกลุ่มไหนออกมาประกาศชัดๆ ว่ารับร่างรัฐธรรมนูญนี้แบบ 100% แบบว่าสนับสนุนแบบเต็มที่ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ดีจริงๆ อย่างมากก็บอกว่าไม่ขี้เหร่มาก พอรับได้ หรือบางคนบอกว่าให้รับไม่ใช่เพราะเห็นว่าดี แต่กลัวได้ฉบับที่แย่กว่านี้ คือในแง่หนึ่งก็ตลกดี มันเป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่มีใคร (นอกจากผู้ร่างเอง) ชื่นชมได้อย่างเต็มปากอย่างจริงใจว่ามันดีและมันสามารถแก้ปัญหาประเทศได้ นอกจากพรรคขนาดกลางบางพรรค ซึ่งเข้าใจได้อยู่แล้ว อันนี้ไม่มีอะไรน่าแปลกใจเลย เพราะพรรคดังกล่าวเป็นพรรคท้องถิ่นแบบเจ้าพ่อที่ไม่มีทั้งอุดมการณ์และ นโยบายเป็นจุดขาย และเป็นพรรคที่จะได้ประโยชน์จากระบบเลือกตั้งแบบใหม่มากที่สุด เพราะระบบเลือกตั้งใหม่มันเน้นให้เลือกตัวบุคคล เอาส.ส.เขตเป็นฐานและจากการคำนวณคร่าวๆ แล้วพรรคขนาดกลางจะได้ที่นั่งมากกว่าเดิมมากพอสมควร
-
สำหรับผมประเด็นที่น่าวิตกมากที่สุดคือ รัฐธรรมนูญฉบับนี้มันแทบไม่เปิดช่องให้มีการแก้ไข ลองไปอ่านดู เงื่อนไขต่างๆ ที่วางไว้มันแทบจะทำให้แก้ไขไม่ได้เลย ฉบับ 2550 ว่ายากแล้ว มาเจอฉบับนี้แทบจะปิดประตูตายในการแก้ไข ปัญหาก็คือรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีจุดอ่อนขอบกพร่องมากมาย ลดทอนอำนาจอธิปไตยของประชาชน และสร้างระบอบการเมืองของชนชั้นนำที่เป็นอำนาจนิยมในขณะเดียวกันก็เป็นระบบ ที่จะไม่มีประสิทธิภาพในการทำงาน ไม่ว่าใครจะขึ้นมาเป็นรัฐบาลบริหารประเทศ เพราะวางกลไกให้รัฐบาลอ่อนแอ ทำงานได้ลำบาก เป็นรัฐบาลที่สำนวนอังกฤษเรียกว่ารัฐบาลเป็ดง่อย เนื่องจากถูกออกแบบมาจากฐานของความกลัว กลัวประชาชน กลัวพรรคการเมืองมันจึงเป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่สอคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของ สังคมไทยที่ประชาชนทุกกลุ่มตื่นตัวทางการเมืองมากแล้ว และเราต้องการรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพในการผลักดันการแก้ปัญหายากๆ ที่รุมเร้าสังคมไทยอยู่มากมายนับไม่ถ้วนในปัจจุบัน การมีรัฐบาลอ่อนแอนี่จริงๆ มันไม่มีประโยชน์กับประเทศเลยนะ เพราะมันไม่มีศักยภาพที่จะผลิตหรือผลักดันนโยบายอะไรดีๆ ได้เลย มันมีแต่จะฉุดให้ประเทศหยุดนิ่งอยู่กับที่หรือไม่ก็ถอยหลังไปเรื่อยๆ ทีนี้พอรัฐธรรมนูญแทบไม่เปิดช่องให้แก้ไขได้ ก็เท่ากับมันทำให้สังคมไทยไม่มีทางออกในอนาคต และสร้างเงื่อนไขให้เกิดความรุนแรงอีกครั้ง
-
ดูจากร่างรัฐธรรมนูญ ชัดเจนว่าทหารต้องการสถาปนาอำนาจของตัวเองในทางการเมืองให้กลายเป็นสถาบัน ที่ได้รับการรับรองโดยรัฐธรรมนูญ คือ จะ "อยู่ยาว" คำถามคือทหารต้องการจะอยู่ยาวไปถึงเมื่อไร เป้าหมายของการอยู่ยาวคืออะไร
-
อย่างน้อย 5 ปีตามที่เขาประกาศ แต่ก็อาจจะนานกว่านั้น เพราะส.ว.ชุดแรกอยู่ในอำนาจ 5 ปี คือนานกว่ารัฐบาล จึงอาจกำหนดตัวคนเป็นนายกฯ ได้ถึง 2 ครั้ง ซึ่งเท่ากับ 8 ปี และบทเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญก็อาจถูกต่ออายุได้อีกโดยอ้างความจำเป็นของ สถานการณ์ที่ไม่ปกติ โดยเป้าหมายก็คือคุมการ "เปลี่ยนผ่าน" ซึ่งทหารย้ำอยู่บ่อยครั้ง ทุกคนทราบดีกว่าสังคมไทยกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่และในช่วง เปลี่ยนผ่านนี้ความสัมพันธ์ทางอำนาจและดุลอำนาจของชนชั้นนำทุกกลุ่มในสังคม ไทยกำลังปรับเปลี่ยนอย่างมโหฬาร ทหารไม่อาจยอมให้มีสุญญากาศเกิดขึ้นในระยะเปลี่ยนผ่านที่เปราะบางนี้ กองทัพเชื่อมั่นว่าตัวเองเท่านั้นที่สามารถคุมการเปลี่ยนผ่านนี้ให้สงบได้ แต่จริงๆ มันไม่ใช่แค่ความเชื่อ กองทัพมีผลประโยชน์ผูกพันในระบบที่ทำให้ต้องเข้ามาเป็นคนกำหนดทิศทางของการ เปลี่ยนผ่านซะเอง อย่าลืมว่ากองทัพเป็นชนชั้นนำเก่าแก่ที่ครองอำนาจในการเมืองไทยมาเป็นระยะ เวลายาวนาน แม้ว่าประเทศจะผ่านช่วงที่เข้าสู่ประชาธิปไตยอยู่เป็นระยะๆ แต่อำนาจของกองทัพไม่เคยหายไปจากการเมืองไทยโดยสิ้นเชิง เหมือนที่นักวิชาการบางคนเปรียบกองทัพว่าทำหน้าที่เสมือน "รัฐพันลึก" (แอเจนี เมริโอ) หรือ "รัฐคู่ขนาน" (พอลแชมเบอร์ และนภิสา ไวฑูรเกีรติ 2016) ในระบบการการเมืองไทย
-
หลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 กลุ่มชนชั้นนายทุนต้องกระโดดเข้ามาเล่นการเมืองเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชน ชั้นตัวเอง สำหรับกองทัพ ในช่วงวิกฤตการเมืองที่ผ่านมารวมทั้งในระยะเปลี่ยนผ่านนี้ เป็นช่วงที่สร้างความหวาดวิตกให้กับชนชั้นนำในกองทัพอย่างมาก เพราะปัจจัย 3 ประการคือ 1.ฐานความชอบธรรมของชนชั้นนำแบบประเพณีกำลังลดน้อยถอยลง 2.พรรคการเมืองกลับมีความเข้มแข็งและมีฐานเสียงมวลชนที่ขยายตัวใหญ่โตอย่าง ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน 3.การเกิดขึ้นของการเมืองแบบมวลชนที่มีคนเข้าร่วมมหาศาลและเป็นการเมืองที่ มีลักษณะเชิงอุดมการณ์ สามปัจจัยนี้มันทำให้กองทัพวิตกกังวลกับสถานะ อำนาจ และผลประโยชน์ตนเอง เพราะมันอยู่นอกเหนือการควบคุมของกองทัพ โดยเฉพาะในการเมืองแบบเลือกตั้งซึ่งเป็นพื้นที่ที่กองทัพไทยไม่มีความถนัด และไม่มีทักษะที่จะแข่งขันได้เลย ผิดกับกองทัพในหลายประเทศที่ปรับตัวเข้าสู่เกมการเลือกตั้งเพื่อรักษาอำนาจ ของตนเอง
-
ด้วยเหตุเหล่านี้กองทัพจึงต้องการมา "คุมเกม" เพื่อสถาปนาระเบียบการเมืองใหม่ new political order ในสถานการณ์ที่ระเบียบการเมืองเก่าที่ดำรงอยู่มายาวนานกำลังจะเสื่อมไป ในกระบวนการ "คุมเกม" นี้ ก็ลดทอนอำนาจของพรรคการเมืองให้อ่อนแอลง ทำให้พรรคการเมืองเชื่องและการเลือกตั้งไม่เป็นภัยคุกคามสำหรับชนชั้นนำเดิม อีกต่อไป ในขณะเดียวกันก็กดปราบภาคประชาชนทุกสีให้สงบราบคาบเพื่อควบคุมไม่ให้มีการ เคลื่อนไหวมวลชนขนานใหญ่ได้ในช่วงเปลี่ยนผ่าน
-
ที่สำคัญ นอกจากสองกลุ่มนี้แล้ว ทหารกำลังปรับความสัมพันธ์กับกลุ่มอำนาจอื่นในเครือข่ายเดียวกันด้วย เช่น กลุ่มนายทุน แบบเดียวกับในสมัยสฤษดิ์ ที่ทหารกับกลุ่มทุนบางกลุ่มก่อตัวเป็นพันธมิตรที่เอื้อประโยชน์ให้กันและกัน ภาคประชาชนจำนวนมากก็คงตระหนักแล้วว่าหลังรัฐประหารครั้งนี้ มีการฉวยใช้อำนาจรัฐเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนมากมายมหาศาล มีการใช้กลไกรัฐไปรุกรานและละเมิดสิทธิชุมชนและชาวบ้านเพื่อให้กลุ่มทุน ดำเนินกิจกรรมสะสมทุนได้อย่างสะดวก ไม่ว่ามันจะผิดระเบียบหรือทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างไร คือจริงๆ ถ้าศึกษาประวัติศาสตร์ก็จะพบว่ากองทัพไทยตั้งแต่หลัง 2500 ไม่ได้มีอุดมการณ์ต่อต้านทุนหรือเป็นปฏิปักษ์กับระบบทุนนิยม กองทัพอยู่ข้างทุน เขาแค่ต้องการให้ทุนต้อง "จิ้มก้อง" เค้าต่างตอบแทนกัน และเพิ่มอำนาจและโอกาสให้ตนเข้ามาแสวงหาประโยชน์จากระบบทุนนิยมด้วย
-
นอกจากนี้สิ่งที่เราเห็นหลังรัฐประหารเป็นต้นมาคือ กระบวนการที่กองทัพสถาปนาให้ตนกลายเป็น hegemonic rulerกลุ่มใหม่ที่จะครองอำนาจในระยะยาวมิใช่คนที่ต้องคอยคอยแชร์อำนาจหรือ อยู่ใต้อำนาจของชนชั้นนำกลุ่มอื่น เห็นได้ชัดทั้งในเรื่องการเพิ่มงบประมาณ เพิ่มอภิสิทธิ์ เพิ่มเงินเดือน เพิ่มกำลังพล ขยายขอบเขตการใช้อำนาจ แก้กฎระเบียบต่างๆ จัดวางบุคลากรในกองทัพเข้าไปยึดกุมวิสาหกิจของรัฐ องค์กรของรัฐ รวมทั้งองค์กรอิสระต่างๆ ที่สำคัญที่สุดก็คือ เอาอำนาจตัวเองไปใส่ไว้ในรัฐธรรมนูญผ่านส.ว.แต่งตั้ง ซึ่งเท่ากับกองทัพมีพรรคการเมืองของตัวเอง มีเสียงในสภา 250 เสียง คิดเป็นครึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนฯ โดยไม่ต้องลงเลือกตั้ง
-
ในฐานะที่อาจารย์ศึกษาเรื่องการเมืองยุคเดือน ตุลา คิดว่าแนวโน้มที่ประชาชนจะลุกฮือขึ้นโค่นล้มรัฐบาลในครั้งนี้จะเกิดขึ้นได้ หรือไม่ เงื่อนไข บริบท และปัจจัยแวดล้อมอะไรที่จะทำให้ไม่เกิดขึ้น
-
อันที่จริง อย่างที่ผมกล่าวไปข้างต้น 1 ทศวรรษที่ผ่านมาคือทศวรรษที่ภาคประชาชนไทยเข้มแข็งที่สุดและมีส่วนร่วมมาก ที่สุด กลายเป็นตัวละครทางการเมืองที่มีบทบาทและมีอิทธิพลมาก แต่จนถึงปัจจุบันนับเป็นเวลา 2 ปีแล้วหลังการรัฐประหาร ที่ถามว่าทำไมเราไม่เห็นการลุกฮือขึ้นของประชาชนเพื่อต่อต้านรัฐบาล ผมคิดว่ามีปัจจัย 2 ประการ ประการแรก คือระดับการควบคุมและละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนโดยรัฐบาลหลังการรัฐ ประหาร และประการที่ 2 ความแตกแยกแบ่งขั้ว (polarization) ระหว่างภาคประชาชนเอง ในประการแรก ข้อมูลและรายงานจำนวนมากชี้ให้เห็นว่าระบอบรัฐประหารครั้งนี้มีลักษณะ repressive สูงกว่ารัฐบาลรัฐประหารในปี 2549 มาก ตั้งแต่วันที่ยึดอำนาจก็มีการจับกุมคุมขังและล็อคตัวแกนนำนักเคลื่อนไหว ทันที จนถึงทุกวันนี้ระดับของการควบคุมและปิดกั้นก็ยังไม่ลดลง แม้แต่กลุ่มนักศึกษาก็ยังถูกจับกุมติดคุกแม้ว่าจะเคลื่อนไหวอย่างสงบสันติ เพียงใดก็ตาม และการควบคุมปิดกั้นนี้มีทีท่าจะเพิ่มขึ้นเมื่อการทำประชามติใกล้เข้ามา จึงเป็นสาเหตุที่เข้าใจได้ที่ภายใต้บรรยากาศแห่งความหวาดกลัวเช่นนี้ การเคลื่อนไหวจากภาคประชาชนไม่ปรากฏ เพราะไม่มีใครอยากเสี่ยงตาย เสี่ยงคุกเสี่ยงตารางกับอนาคตการเมืองข้างหน้าที่ยังมองไม่เห็นทางออกหรือ ทางเลือกที่ชัดเจน และที่ผ่านมาคนที่ตายก่อนคือประชาชนคนธรรมดา และในสังคมนี้ถ้าคุณเป็นชาวบ้าน เป็นคนจน เมื่อตายไปแล้วก็ไม่สามารถแสวงหาความยุติธรรมได้อีก ฉะนั้นถ้ามองจากตรงนี้ มันเข้าใจได้มากๆ เลยว่าทำไม "ความเคลื่อนไหวไม่ปรากฏ" การไปติเตียนต่อว่าต่อขานประชาชนด้วยกัน ผมว่ามันไม่ค่อยแฟร์นัก
-
ส่วนเงื่อนไขที่เป็นอุปสรรคประการที่สองก็คือ การแบ่งขั้วของภาคประชาชนไทย มันไม่เหมือนตอน 14 ตุลาฯ หรือตอนพฤษภา 2535 ที่ตอนนั้นมันชัดเจน เป็นความขัดแย้งระหว่างประชาชนสู้กับรัฐ ประชาชนแม้จะมีแนวคิดต่างกันบ้าง แต่ชัดเจนว่ามีฉันทามติบางอย่างร่วมกันในปี 16 และปี 35 คือ ไม่ยอมรับการปกครองแบบเผด็จการทหารอีกต่อไปและเชื่อว่าสังคมไทยมีทางเลือก ที่ดีกว่าถูกปกครองด้วยระบอบคณาธิปไตยของกองทัพ แต่ตอนนี้ฉันทามติแบบนี้มันไม่เหลืออยู่แล้ว ภาคประชาชนแตกเป็นสองขั้วอย่างที่ทุกคนทราบดี โดยในขั้วหนึ่งยังมีความเชื่อว่าการมีทหารปกครองนั้นยังไงก็แย่น้อยกว่า นักการเมือง คือไม่ใช่ว่าทหารบริหารประเทศดีกว่ามีประสิทธิภาพกว่าหรือโปร่งใสกว่า แต่พวกเขาเกลียดนักการเมืองมากกว่า คือมันเป็นการเมืองที่ขับดันด้วยความเกลียดชัง
-
ผลของการแบ่งขั้วนี้ทำให้ชนชั้นนำในปัจจุบันปกครองง่าย หรือพูดอีกอย่างก็ได้ว่าคณะรัฐประหารเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์มากที่สุดจาก สภาวะสังคมแบ่งขั้ว ไม่ว่าการบริหารประเทศจะผิดพลาดหรือขาดประสิทธิภาพอย่างไร แต่ก็ยังปกครองได้สบายๆ เพราะกลุ่มอื่นๆ ในสังคมไทยอ่อนแอและขาดพลังเนื่องจากไม่สามารถรวมพลังกันเพื่อผลักดันการ เปลี่ยนแปลงได้ เพราะความบาดหมางและความขัดแย้งรุนแรงที่สะสมในช่วงหลายปีที่ผ่านมามันมี อยู่สูง แม้แต่การสร้างแนวร่วมกว้างๆ ก็ยากที่จะเกิดขึ้น เพราะความไว้วางใจระหว่างกันในภาคประชาสังคมมันไม่เหลืออยู่ ซึ่งถามว่าเข้าใจได้ไหม เข้าใจได้ไม่ยากเลย เพราะความขัดแย้งมันยืดเยื้อเรื้อรังและความเกลียดชังระหว่างกันมันมีอยู่ สูง แต่ตราบใดที่สภาวะแบ่งขั้วอย่างที่ไม่สามารถประสานกันได้แม้แต่เรื่องเดียว แบบนี้ยังดำรงอยู่ ทหารก็จะสามารถปกครองต่อไปได้เรื่อยๆ
-
การออกจากระบอบชนชั้นนำของกองทัพในครั้งนี้ เป็นเรื่องยาก มันต้องการฉันทามติใหม่ new consensus ร่วมกันระหว่างกลุ่มต่างๆ ในภาคประชาชนว่าเราสามารถสร้างสังคมไทยที่มีอนาคตดีกว่านี้ โดยไม่ต้องตกอยู่ภายใต้ความหวาดกลัวและความเกลียดชัง แต่เป็นการเมืองของความหวังที่ประชาชนทุกกลุ่มสามารถร่วมกันกำหนดอนาคตของ บ้านเมืองตนเองได้ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าต้องรวมพลังกันในการเดินขบวนประท้วงอย่างเดียวเสมอไป มันอาจจะรวมพลังกันในรูปแบบอื่นๆ ได้หลากหลายมากมายตามแต่สถานการณ์ เช่น เฉพาะหน้านี้คือเริ่มจากการแสดงพลังร่วมกันในการลงคะแนนประชามติว่าประชาชน ทุกกลุ่มต้องการรัฐธรรมนูญที่มีเนื้อหาและกระบวนการที่ประชาชนสามารถมีส่วน ร่วมได้มากกว่าที่เป็นอยู่ มิใช่กำหนดมาแล้วโดยชนชั้นนำแบบเบ็ดเสร็จโดยที่ประชาชนไม่มีทางเลือก
-
แต่ทั้งหมดที่พูดนี้ ก็ตระหนักดีว่ามันยากมากๆ ที่จะเกิดขึ้นได้และเราอาจจะต้องอยู่กับการเมืองที่ไม่มีความหวังแบบนี้ไปอีกนานพอสมควร
-
ที่มา ประชาไท
Wed, 2016-04-27
คิดกันบ้างไหม รู้สึกกันบ้างหรือยัง - ว่าอำนาจเผด็จการฯ ทรราช ชั่วขนาดใหน
-
ว่าอำนาจเผด็จการฯ ทรราช ชั่วขนาดใหน......จินตนาการกันบ้างเถอะ ถ้าวันหนึ่ง ตัวคุณ/เพื่อนคุณ ลูกคุณ พ่อคุณ ถูกอุ้มหาย คุณจะรู้สึกอย่างไร?!
------------------------------------------------------------------------------------
ก่อนท้องฟ้าจะสดใส: บรรยากาศเสี่ยง "อันตราย" ที่อาจเกิดขึ้นกับใครก็ได้!.
-
ก่อนท้องฟ้าจะสดใส ทำหน้าที่คล้ายบทบรรณาธิการ ที่แสดงจุดยืนของทีมงานไอลอว์ ในฐานะคนทำงานติดตามประเด็นต่างๆ
อ่านตอนใหม่ได้ที่ >> http://ilaw.or.th/node/4093]
.
ช่วงเช้าของวันนี้ (27 เมษายน 2559) มีรายงานผ่านโลกออนไลน์เป็นระยะว่า ประชาชนคนธรรมดาถูกจับกุมและพาตัวไปจากบ้านตั้งแต่เวลารุ่งเช้า อย่างน้อย 10 คน
.
โดยบุคคลที่ถูกจับตัวไป บางคนเป็นช่างภาพ บางคนเป็นเจ้าของกิจการ บ้างก็เป็นนักเขียน แต่สิ่งที่คล้ายกันในหมู่พวกเขาก็คือ "ความสนใจต่อเหตุการณ์บ้านเมือง"
.
แต่ท่ามกลางความสับสนของการใช้อำนาจจับกุมตัวบุคคลดังกล่าว ไอลอว์มีข้อสังเกตเกี่ยวกับเหตุผลและความชอบธรรมในอำนาจที่จะจับกุม ตรวจค้น ยึดหรืออายัดทรัพย์สิน รวมไปถึงการควบคุมตัวในครั้งนี้ว่า มันมีปัญหาในแง่ "อำนาจที่ใช้กับฐานความผิดไม่สอดคล้องกัน"
.
กล่าวคือ การจับกุมและควบคุมตัวดังกล่าว หากเป็นการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ จริง ฐานความผิดดังกล่าวไม่อยู่ในอำนาจของคำสั่งหัวหน้า คสช. ไม่ว่าจะเป็นฉบับที่ 3/2558 หรือ13/2559 ที่จะให้เจ้าหน้าที่ทหารเข้าจับกุมและควบคุมตัวไว้ได้ นอกจากนี้ หากเป็นกรณีที่เป็นความผิดจากการโพสต์เฟซบุ๊ก ย่อมไม่ใช่การกระทำความผิดซึ่งหน้า ดังนั้น เจ้าหน้าที่ทหารไม่สามารถอ้างอำนาจคำสั่งหัวหน้า คสช. เพื่อใช้กับกรณีนี้ได้
.
อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมา มีหลายกรณีที่เจ้าหน้าที่ใช้อำนาจโดยมิได้เป็นไปตามบทบัญญัติที่ให้อำนาจไว้ และกลับกลายเป็นคนที่ละเมิดมันเสียเอง
.
อีกทั้ง เมื่อเจ้าหน้าที่ทหารเข้าจับกุมโดยไม่มีหมายศาล ไม่มีการแจ้งข้อหา หรือการกระทำความผิด และไม่ให้สิทธิในการพบทนายความหรือติดต่อญาติ ไม่เปิดเผยสถานที่ควบคุมตัว สิ่งเหล่านี้ล้วนนำไปสู่ความเสี่ยงต่อการบังคับให้สูญหาย การซ้อมทรมาน และการเสียชีวิตในระหว่างการควบคุมตัว
.
รวมไปถึงการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมโดยทหาร เช่น การข่มขู่ให้รับสารภาพระหว่างการควบคุมตัวในค่ายทหาร นอกจากนี้ กลไกต่างๆ ซึ่งต้องตรวจสอบถ่วงดุลก็ไม่สามารถทำงานได้อีก
.
สิ่งหนึ่งที่เกิดเป็นคำถามในสภาวะเช่นนี้ก็คือ "ประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่บรรยากาศเสี่ยงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับใครก็ได้ใช่หรือไม่"
-
Cr.iLaw
คิดกันบ้างไหม รู้สึกกันบ้างหรือยัง - ว่าอำนาจเผด็จการฯ ทรราช ชั่วขนาดใหน
-
ว่าอำนาจเผด็จการฯ ทรราช ชั่วขนาดใหน......จินตนาการกันบ้างเถอะ ถ้าวันหนึ่ง ตัวคุณ/เพื่อนคุณ ลูกคุณ พ่อคุณ ถูกอุ้มหาย คุณจะรู้สึกอย่างไร?!
------------------------------------------------------------------------------------
ก่อนท้องฟ้าจะสดใส: บรรยากาศเสี่ยง "อันตราย" ที่อาจเกิดขึ้นกับใครก็ได้!.
-
ก่อนท้องฟ้าจะสดใส ทำหน้าที่คล้ายบทบรรณาธิการ ที่แสดงจุดยืนของทีมงานไอลอว์ ในฐานะคนทำงานติดตามประเด็นต่างๆ
อ่านตอนใหม่ได้ที่ >> http://ilaw.or.th/node/4093]
.
ช่วงเช้าของวันนี้ (27 เมษายน 2559) มีรายงานผ่านโลกออนไลน์เป็นระยะว่า ประชาชนคนธรรมดาถูกจับกุมและพาตัวไปจากบ้านตั้งแต่เวลารุ่งเช้า อย่างน้อย 10 คน
.
โดยบุคคลที่ถูกจับตัวไป บางคนเป็นช่างภาพ บางคนเป็นเจ้าของกิจการ บ้างก็เป็นนักเขียน แต่สิ่งที่คล้ายกันในหมู่พวกเขาก็คือ "ความสนใจต่อเหตุการณ์บ้านเมือง"
.
แต่ท่ามกลางความสับสนของการใช้อำนาจจับกุมตัวบุคคลดังกล่าว ไอลอว์มีข้อสังเกตเกี่ยวกับเหตุผลและความชอบธรรมในอำนาจที่จะจับกุม ตรวจค้น ยึดหรืออายัดทรัพย์สิน รวมไปถึงการควบคุมตัวในครั้งนี้ว่า มันมีปัญหาในแง่ "อำนาจที่ใช้กับฐานความผิดไม่สอดคล้องกัน"
.
กล่าวคือ การจับกุมและควบคุมตัวดังกล่าว หากเป็นการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ จริง ฐานความผิดดังกล่าวไม่อยู่ในอำนาจของคำสั่งหัวหน้า คสช. ไม่ว่าจะเป็นฉบับที่ 3/2558 หรือ13/2559 ที่จะให้เจ้าหน้าที่ทหารเข้าจับกุมและควบคุมตัวไว้ได้ นอกจากนี้ หากเป็นกรณีที่เป็นความผิดจากการโพสต์เฟซบุ๊ก ย่อมไม่ใช่การกระทำความผิดซึ่งหน้า ดังนั้น เจ้าหน้าที่ทหารไม่สามารถอ้างอำนาจคำสั่งหัวหน้า คสช. เพื่อใช้กับกรณีนี้ได้
.
อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมา มีหลายกรณีที่เจ้าหน้าที่ใช้อำนาจโดยมิได้เป็นไปตามบทบัญญัติที่ให้อำนาจไว้ และกลับกลายเป็นคนที่ละเมิดมันเสียเอง
.
อีกทั้ง เมื่อเจ้าหน้าที่ทหารเข้าจับกุมโดยไม่มีหมายศาล ไม่มีการแจ้งข้อหา หรือการกระทำความผิด และไม่ให้สิทธิในการพบทนายความหรือติดต่อญาติ ไม่เปิดเผยสถานที่ควบคุมตัว สิ่งเหล่านี้ล้วนนำไปสู่ความเสี่ยงต่อการบังคับให้สูญหาย การซ้อมทรมาน และการเสียชีวิตในระหว่างการควบคุมตัว
.
รวมไปถึงการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมโดยทหาร เช่น การข่มขู่ให้รับสารภาพระหว่างการควบคุมตัวในค่ายทหาร นอกจากนี้ กลไกต่างๆ ซึ่งต้องตรวจสอบถ่วงดุลก็ไม่สามารถทำงานได้อีก
.
สิ่งหนึ่งที่เกิดเป็นคำถามในสภาวะเช่นนี้ก็คือ "ประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่บรรยากาศเสี่ยงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับใครก็ได้ใช่หรือไม่"
-
Cr.iLaw
ประชาชน ห้ามงง ห้ามสงสัย
ก็แฟร์เพลย์ นี่ไง ไม่เห็นหรือ?
อย่ามาเรียก ร่ำร้อง ต้องหืออือ
ถ้าใครดื้อ เดี๋ยวบังคับ จับเข้ากรง....
.
ใครคิดมา สอดแนม อย่าแหยมเสือก
มีตัวเลือก เต็มกะลา พาลุ่มหลง
สาวกโง่ ก็เงียบฉี่ ไม่มีงง
ล้านพิษสง ก็น้อมรับ กับชะตา....
.
วิปริต คิดชั่ว กลัวจนสั่น
ไล่ปิดกั้น คนคิดต่าง อย่างด้านหนา
เผยทาสแท้ เกมยึดยื้อ ซื้อเวลา
เพื่อจะเหยียบ หัวบ่า ประชาชน....
.
๓ บลา
ประชาชน ห้ามงง ห้ามสงสัย
ก็แฟร์เพลย์ นี่ไง ไม่เห็นหรือ?
อย่ามาเรียก ร่ำร้อง ต้องหืออือ
ถ้าใครดื้อ เดี๋ยวบังคับ จับเข้ากรง....
.
ใครคิดมา สอดแนม อย่าแหยมเสือก
มีตัวเลือก เต็มกะลา พาลุ่มหลง
สาวกโง่ ก็เงียบฉี่ ไม่มีงง
ล้านพิษสง ก็น้อมรับ กับชะตา....
.
วิปริต คิดชั่ว กลัวจนสั่น
ไล่ปิดกั้น คนคิดต่าง อย่างด้านหนา
เผยทาสแท้ เกมยึดยื้อ ซื้อเวลา
เพื่อจะเหยียบ หัวบ่า ประชาชน....
.
๓ บลา
เหตุที่พระพุทธศาสนาเสื่อมสูญจากอินเดีย
เหตุที่พระพุทธศาสนาเสื่อมสูญจากอินเดีย
ทหารเรียกตัว อาจารย์ มช. เข้าค่ายทหารให้ข้อมูล
http://prachatai.com/journal/2016/04/65528
ทหารเรียกตัว อาจารย์ มช. เข้าค่ายทหารให้ข้อมูล
Fri, 2016-04-29 22:26
29 เม.ย. 2559 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเวลา 19.56 น. ที่ผ่ามา ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี อาจารย์จากคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้โพสต์ภาพพร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว 'Pinkaew Laungaramsri' ในลักษณะสาธารณะ ซึ่งเป็นภาพถ่ายจดหมายถึงอธิการบดี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จาก กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย มณฑลทหารบกที่ 33 ค่ายกาวิละ จ.เชียงใหม่ เรียงตนเองเข้าพบเจ้าหน้าที่กองกำลังดังกล่าว เพื่อให้ข้อมูล
ประเด็นฮ็อต เจ้าคุณเบอร์ลิน... ได้อ่านหรือยังครับ
นิติบุคคล ซ้อน นิติบุคคล : แฉเล่ห์ โยก "เงินอุดหนุนสังฆราช" เข้า มูลนิธิที่ตั้งรองรับ : จาก ใช้จ่าย ตามพระอัธยาศัย แปลงเป็น ใช้จ่าย ตามใจฉัน : เปิดเผยตัว"หลวงป้า" พระลูกชาย พฤติกรรมซ่อนเพศ.
-----------------------------------------------------
- รายงานตัวครับผม.
- ขอแจ้งว่า ผม เจ้าคุณเบอร์ลิน ณ วันนี้ ก็ยังคงมีสุขภาพแข็งแรง สมองใส ใจสดชื่น และดีใจที่ได้สร้างบุญ ในงานป้องภัยพระศาสนาอย่างแข็งขัน เช่นเดิมครับ อีกทั้งร่างกาย และจิตใจ ของผม ก็ปกติทุกประการครับผม.
---------------------------------------
- มาวันนี้ ผมจะขออนุญาต ชวนทุกท่าน มาสนทนา 4 เรื่อง หลัก ๆ นะครับ นั้น คือ..
เรื่องที่ 1.
- เชิญไปเปิดตัว "หลวงป้า" แห่งวัดบวร ด้วยกัน.
เรื่องที่ 2.
- เปิดเผยเล่ห์กลโกง "การทำชั่ว แบบ ถูกกฎหมาย" เช็คเส้นทางเงินสังฆราช คือ การตั้ง มูลนิธิ ซึ่งเป็นนิติบุคคล ขึ้นมาซ้อนกับ วัดบวร เพื่อทำการโยกย้ายถ่ายเท เงินอุดหนุนสังฆราช อย่างแยบยล.
เรื่องที่ 3.
- เจ้าคุณเบอร์ลิน ยุยื่น สตง. ตรวจสอบ มูลนิธิที่โอนเงินสังฆราชเข้า เพื่อแปลงอำนาจคนสั่งจ่าย.
เรื่องที่ 4.
- ส่องเส้นทางเดิน เงินอุดหนุนสังฆราช.
-----------------------------------------------------------
- ทั้ง 4 เรื่องนี้ จะเป็นอย่างไร เชิญอ่านให้จบนะครับ.
-------------------------------------------------
ก่อนอื่นขอแจ้งก่อนว่า..
- จากโพสต์ครั้งล่าสุด ของ เจ้าคุณเบอร์ลิน ทำเอาร้อนแรงยังกับไฟลามทุ่งในวงการศาสนาไทยทีเดียว.
- เพราะโพสต์ล่าสุดที่ชื่อ God Mother นี้ มีคนเข้ามาอ่าน เฉพาะที่ปรากฎในเพจรายงานว่า มีกว่า 2 แสนคน และถูกแชร์ออกไปเกือบ 5 พันครั้ง และยังถูกนำไปเผยแพร่ในช่องทางต่าง ๆ อีกจำนวนมาก.
- นี่คือ เหตุการณ์ที่เรียกว่า "ปรากฎบนดิน".
- ส่วนที่ "ปรากฎใต้ดิน" นั้น บอกได้ว่า "แรง และแรงที่สุด แรงมากกว่าที่ผ่าน ๆ มากครับ"
- เอาเป็นว่า ผลจากโพสต์ล่าสุด ทำเอาผม และทีมงาน เพื่อความปลอดภัย จึงถูกเตือน ให้ต้องนิ่ง ๆ ณ ที่ตั้งไว้ก่อน ในช่วง 2-3 วัน ที่ผ่านมา.
- ทำไงได้ครับ ยุคคนพาลเป็นใหญ่ งานนี้จะมาเอามันส์ไม่ได้ "ต้องเอาจริง" อย่างเดียว.
- จึงจะบรรลุงานใหญ่ได้ ขอแฟนคลับ โปรดเข้าใจ และใจเย็น ๆ นะครับ จะจับเสือ ขืนเดินทื่อ ๆ ไปจับ มันก็งาบเอาซีครับผม.
----------------------------------------------------------------
- ณ วันนี้ หลังประเมินสถานการณ์รอบด้านแล้ว จึงร่วมกันวางแผน เข้าโจมตีทะลวงทัพหลวง "กลางกล่องหัวใจ ของ "หลวงป้า" และถีบยอดหน้า เป็นบาทาลูบพักตร์ ของ แก๊งค์ชั่วนี้ไปเลย.
- หากยังไม่หยุดทำชั่วอีกแล้วละก็ "ผมเอาตายแน่ๆ งานนี้ จะลองดูก็เชิญเลย".
- ก็ยังยืนยันว่า ณ วันนี้ไม่มีถอย ยังไง ๆ ก็คำเดิมว่า.,
"งานนี้กูเอาจริง"
"มาไงก็ไปงั้น คดีมาก็คดีไป"
"หากให้กูหยุด มึงต้องหยุดทำชั่วก่อน".
---------------------------------------------------------
เริ่มเรื่อง
- อันที่จริง หลังจากโพสต์ครั้งที่แล้ว ผมตั้งใจว่า จะไม่พูดเรื่องเงิน 23 ล้าน ต่อไปอีกแล้ว จะขอหยุดไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อน.
- ซึ่งทั้งหมดที่พูดมา เบื้องต้น ผมก็หวังเพื่อให้สติ คนที่จับหอกวางแผนอยู่เบื้องหลัง เพื่อให้หยุดเรื่องชั่วๆ ได้แล้ว พอได้แล้ว ก็ยังหวังในใจว่า..
"ฝ่ายชั่วจะมีสำนึกทางดีอยู่บ้าง".
- แต่กลับตรงข้าม คือ แทนที่จะพากันสำนึกผิดต่อพฤติการณ์อันต่ำช้านี้กัน.
- การณ์กลับกลายเป็นว่า คนเหล่านี้ ยังไม่รู้สึกรู้สาใด ๆ เลย.
- แถม ยังใช้ให้ พญามารราชสีห์ แห่ง วัดอ้อน้อย ไปเที่ยวเห่า เที่ยวหอน ไม่หยุดปาก สักทีอีกด้วย.
- ผมเห็น วัน ๆ เอาแต่ไปเที่ยวไล่กัดคนนั้นคนนี้ ไม่หยุดไม่หย่อน.
- ซ้ำร้าย มาในวันนี้ เห็นข่าวจากเมืองไทยว่า จะไล่กัดสื่อเสียแล้ว.
- ดูแล้ว สันดานหยาบแบบนี้ ก็คงจะมีแต่ พุทธอิสระ หรือ คนสันดานหมาบ้า แหละครับ ซึ่งมองยังไงก็มิใช่วิสัยพญาราชสีห์อะไรหรอก คนดีที่ไหนเขาจะมาทำได้ขนาดนี้ละครับ.
----------------------------------------------------------
เตือนพุทธอิสระ อย่าลำพองตน คิดอะไร เผื่อทางลงไว้บ้าง
- ขอจงจำคำพูดผมไว้ว่า ..
- ที่พระทั้งหลาย ท่านไม่พูด ไม่ตอบโต้นั้น ไม่ใช่ว่าเขากลัวคุณใดๆเลย.
- แต่เขารู้สึก "เวทนาหมาขี้เรื้อน" ตัวที่มันแค่ได้เห็นเงาหัวตัวเองไหวในน้ำ ก็มาสำคัญว่า ตนได้กลายร่างเป็นพญาราชสีห์ไปแล้วต่างหาก.
-ซ้ำ ที่วัน ๆ ก็ยังคงนอนคลุกขี้อยู่ อยู่ใต้ถุน ครั้นเหลือบขี้ตามองเห็นใบตองแห้งปลิวที่ไหน ก็เห่าที่นั่นไปเรื่อย.
- ด้วยยังสำคัญว่า "ตนทรงอำนาจ" แบบภาพลวงตาไปอีก.
- อย่าหลงตนๆ ท่องไว้.
----------------------------------------------------------------------
เผยคนอมเงิน 23 ล้านบาทต่อปี : ความชั่วห้องกระจกต่อเนื่อง
- ผมจะบอกให้ เพื่อเอาบุญสักหน่อยว่า.
- ขอจงจำใส่กระโหลกหนาๆ ของพุทธอิสระ และพรรคพวก ไว้ซะ ว่า..
- อันเงิน 23 ล้านนั่นนะ...
- อันที่จริง ท่านเจ้าคุณเทพฯ ท่านก็เป็นแต่เพียงผู้รับเท่านั้น มิใช่ผู้ใช้เลย ด้วยหน้าที่คือการสนองงานหน้าห้องสมเด็จพระสังฆราช.
- ตรงนี้ คนใกล้ชิดวัดบวร อยู่ในทีมอดีตกองเลขาพระสังฆราช ได้กระซิบบอกผมมาว่า ..
"คนอื่นทั้งนั้นเอาไปกินกัน แต่กรรมดันมาตกเป็นของเจ้าคุณเทพฯ เพราะเป็นผู้รับเงินคนแรก"
---------------------------------------------------------
- ส่วนคนอื่น จะเป็นใครนั้น ให้ไปถาม ดีเอสไอ กันเอาเอง ที่นั่นถ้าสถานการณ์ปกติ "เขามีคำตอบให้ครบถ้วน".
- แล้วอย่าให้ใครมาร้องท้าเชียวนะว่า ..
"ถ้าเจ้าคุณเบอร์ลิน แน่จริง ก็บอกชื่อมาตรงๆ เปิดเผยเอกสารมาเลย อย่าลับๆ ล่อๆ กูจะประสาทแดกตายห่าอยู่แล้ว (โว้ย)".
-------------------------------------------------------------------
เข้าเรื่อง
เรื่องที่ 1.
- เปิดตัว "หลวงป้า" แห่งวัดบวร เป็นทางการ.
- ข้อนี้ ผมขอเตือนนิ่ม ๆ ว่า ..
"อย่าเชียวนะครับ อย่ามาท้าทาย เรื่องนี้
กับคนอย่างผมนะครับ
เพราะคนอย่างเจ้าคุณเบอร์ลิน
หากโนเนม เป็นคนธรรมดา ไร้ฝีมือ แล้วละก็
ผมคงไม่อาจหาญ ลุกขึ้นมาต่อกรกับแก๊งค์ชั่ว
ได้มายาวนานขนาดนี้ได้หรอก
ยิ่งเลือดอาจารย์มันแรง ๆ อย่างนี้ละก็
อย่ามามองผมว่า ไร้น้ำยาเด็ดขาด.
- เดี๋ยวผมได้เกิด "องค์ลงขึ้นมา" เกิดเบรคแตกขึ้นมาจริงๆ มันจะพังทั้งก๊วนง่าย ๆ นะครับ ขอบอกก่อน.
- ไอ้ตัว"หลวงป้า" หัวหน้าใหญ่ตัวชูโรงนะแหละ จะผูกคอตายก่อนใครเพื่อน.
- จะ "ลองของ" กับผมเมื่อไร ก็ไปปรึกษากันดีๆ ก่อนนะครับ แล้งจึงค่อยมาท้าทายผม.
- จะได้ไม่ต้องมานั่งโทษกันภายหลัง อย่างรายการผิดคิว ที่ดันไปยื่น สตง. ให้มาสอบพวกงาบเงินสังฆราช ที่กลายเป็นพวกกันเองแบบคราวที่แล้ว.
- ถึงเวลานั้น จะหาว่าผมไม่เตือน ไม่ได้นะครับ.
- ให้รู้ไว้ทั่วกันด้วยว่า ..
"พระวัดบวรที่เขารู้ผิดชอบชั่วดี นั้นมีอยู่ และเขาเอือมระอาต่อพฤติกรรม ทั้งของ "หลวงป้า" และสตรีผู้ศักดิ์ใหญ่นี้กันทั้งนั้นในทุกวันนี้.
- เขาแอบซุบซิบกันข้างกำแพงวัด จนกระจายไปทั่วประเทศไทยไปนานแล้ว.
- เรื่องชั่วเหล่านี้ ดังไม่ดัง มันก็ข้ามกำแพงจากวัดบวร กทม. ข้ามทวึปมาไกลจนถึง นครเบอร์ลิน ก็แล้วกัน คิดเอาเอง.
- เผลอๆ เรื่องเน่าแบบนี้ อาจไปไกลจนถึงแอลเอ-ลาสเวกัส อเมริกาไปแล้ว ก็ได้.
- หากไปกดขี่ข่มเหงเขามาก ระวังมันจะระเบิดเร็วเกินคาดได้? นะครับ.
------------------------------------------------------------
- ขอเตือน "หลวงป้า"ว่า..
" ตอนนี้สังคมเพ่งเล็ง และเริ่มเห็นไส้ท่านแล้ว เห็นขึ้นทุกวันแล้วด้วยครับ".
- ดังนั้น หากจะทำอะไร ที่เคย ๆ ทำมานั้น ก็ให้ระมัดระวังกิริยาท่าทางเอาไว้บ้าง สงวนท่าทีในใจไว้บ้าง ทำอะไรกัน ก็ให้ทำในห้อง ในที่กันมิดชิดหน่อย.
- จากนี้ ก็ขอได้อย่าไปเที่ยวจับมือถือแขน เด็กหนุ่มๆ หน้าตาดี แล้วทำตาชะมดชะม้อย ในที่สาธารณะ ดังที่เคยประพฤติประจำนั้น ก็อย่าให้มันบ่อยประเจิดประเจ้อนัก.
- จากนี้ไปก็ อย่าออกอาการ ให้มันมากจนน่าเกลียดนัก.
- เพราะพระหนุ่มเณรน้อยเขาเห็นแล้ว เขาจะรับไม่ไหวแล้ว และเขาจะนินทาหนักขึ้นได้.
- มันจะเสียชื่อพระนิกายเคร่งที่เขาเคร่งจริง และจะเสื่อมเสียมาถึงวัดอันดับหนึ่งของคณะธรรมยุต.
-------------------------------------------------
- ที่ผมหมายถึงนี้ แน่นอน ครับว่า..
"หลวงป้า ย่อมไม่ใช่ หลวงลุง และไม่ใช่หลวงเจ้ เพราะแก่เลยชั้น"เจ้"ไปนานแล้ว".
- นี่เขาใช้เรียกกันครับ และดูเหมือนเจ้าตัว ทั้งในที่ลับที่แจ้ง ก็จะชอบคำเรียกนี้เป็นพิเศษเสียด้วย "ใช่...เปิดเผยว่างั้นเถอะ".
- ไม่เชื่อผม ก็ลองแกล้ง นำไปเรียกดูก็ได้ครับ.
- เด็กนักเรียนชายในวัดเขารู้กันทั้งนั้น.
- อันนี้พระวัดบวรท่านฝากเตือนมา.
----------------------------------------------------
เป็นพระภิกษุจริงหรือ "หลวงป้า" บวชมาได้ไง
- ว่าไปแล้ว ไอ้พฤติกรรม "ออกแนวนี้" นั้น หากยึดตามพระธรรมวินัย แล้ว.
- เมื่อพระอาจารย์สวดถามตอนบวชว่า "ปุริโสสิ๊" ผมก็นึกไม่ออกว่า "หลวงป้า" แกจะตอบว่าไง.
- แค่นี้ก็บวชเป็นพระไม่สำเร็จตั้งแต่วันบวชแล้วครับ.
- จะยังมาอ้างเป็นพระภิกษุสมบูรณ์ได้อย่างไร.
- แถมยังหลงตนว่า "นิกายข้าเคร่งกว่านิกายอื่น" ก็ยิ่งน่าอายไปใหญ่.
- ทั้งยังมาคิดการณ์ใหญ่จะปกครองสงฆ์อีก "เจียมตัวเสียบ้างนะครับ "หลวงป้า" ที่เคารพ".
- ผมลองหลับตานึกเล่น ๆ หากบุญพาวาสนาส่ง วันใดวันหนึ่ง ผีนรกถีบส่งเสริมให้ ...
"หลวงป้า แก ขึ้นเป็นพระสังฆราช แห่งสังฆมณฑลจริง ๆ แล้ว ละก็
ถึงวันนั้น ในวัดในวา คงได้นินแต่เสียง "ว้ายๆ" กลายเป็น"กุฏิแต๋วแตก" เป็นแน่เชียวยุคนี้.
- ส่วนกิจการพระศาสนา ในประเทศไทย "ยุคหลวงป้าครองสงฆ์" ก็คงจะสุดเกินคำบรรยายแล้ว ไม่อยากนึกต่อแล้วละครับ ฝนฟ้าคงอาเภทหนักยิ่งขึ้น.
- โปรดลืมตา และเปิดปัญญากันบ้างเถอะ ลูกศิษย์ทั้งหลายเอ้ย อย่าหน้ามืด ไปนับถือผิดรูปผิดองค์มากไปกว่านี้อีกเลย.
- ไม่ทราบจะพูดต่ออย่างไรแล้ว กับคนพาลพวกนี้.
--------------------------------------------------------------------
เนื้อไม่ได้กิน "จึงเหลือแต่กระดูก" : กรรมเจ้าคุณเทพ ฯ
- ว่าไปแล้ว ทั้งหลายทั้งปวง ผมก็อดที่น่าจะสงสารเจ้าคุณเทพฯไม่ได้ครับ.
- ที่วันนี้ นับแต่วันที่ พุทธอิสระ ออกอาการมึน ดันไปยื่นตรวจสอบเงินอุดหนุนสังฆราชนี้ กับ สตง.ในคราวนั้น.
- ซึ่งเมื่อเป็นข่าวคราวเกรียวกราว ทุกสายตา ถนนทุกสาย ทั้งสายพระสายโยม ต่างก็เพ่งไปที่แก อยู่จุดเดียวกัน เหมือนบาปจะตกแก่ท่าน อยู่คนเดียว.
- ทั้งที่ เนื้อก็ไม่ได้กิน หนังก็ไม่ได้รองนั่ง แถมยังเอากระดูกมาแขวนคอไว้อีกต่างหาก.
- ส่วนเนื้อดีๆ พวก "ขบวนการเหลือบ" เขาเอาไปกินกันหมด.
- เพราะตนเองมัวแต่ก้มหน้าก้มตา สนองงานในพระสังฆราชอย่างเดียว.
---------------------------------------------
เรื่องที่ 2.
- เรื่อง กลโกงห้องกระจก
- การตั้งมูลนิธิ "นิติบุคคล ซ้อน นิติบุคคลของวัด" เพื่อโยกย้ายถ่ายเท เงินสังฆราช : ทำชั่วแบบถูกกฎหมาย.
- คนใกล้ชิดวัดบวรให้ข้อมูล และบอกผมมา หลังจากผมเกาะติดเรื่องเงินอุดหนุนสังฆราชนี้ ว่า ..
(ใน. "....." ทั้งหมด ทุกคำพูด ในประโยค ล้วนเป็น"ข้อมูลดิบ" ที่ผมได้รับมา เมื่อสองวันก่อนทั้งหมดครับ และ ขอให้ทุกท่าน ได้โปรดอ่าน และพิจารณาหลาย ๆ รอบนะครับ แล้วก็โปรดเชื่อตนเอง อย่าเพิ่งเชื่อผม จนกว่าจะมั่นใจ จึงค่อยเชื่อก็ได้ครับ)...
-------------------------------------------------------
ข้อมูลดิบ ที่ได้รับล่าสุด เมื่อ 2- 3 วันที่ผ่านมา ทั้งหมดมี ดังนี้
"ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี เงินพระสังฆราชปีละ 23 ล้าน เจ้าคุณเทพฯ เป็นแต่เพียงผู้รับไว้เท่านั้น
เพราะสตรีผู้มีศักดิ์ใหญ่ ท่านนี้..
เธอได้ขอให้เอาไปเข้ามูลนิธิฯ ที่ (วางแผน) ตั้งขึ้นในวัด
จะได้ใช้เงินแยกเป็นส่วนหนึ่งออกไปจากวัด
ที่จริง ควรเรียกว่า "บังคับ" ให้เอาไปเข้าบัญชีมูลนิธิฯ ก็ได้
โดยมี "หลวงป้า" แห่งวัดบวร ในฐานะ "พระลูกชาย" เป็นผู้มีอำนาจสูงสุด และใช้อำนาจทั้งหมดของอดีตพระสังฆราชเสียเอง
ซึ่งก็จะมีสตรีผู้มีศักดิ์ใหญ่คนเดียวกันนี้ ในฐานะโยมแม่
จะคอยสั่งการอยู่เบื้องหลังทุก ๆ อย่าง ว่า "จะทำอะไรบ้าง"
ส่วนกรรมการมูลนิธิคนอื่น ๆ ก็เป็นแต่เพียงตัวประกอบนิทานเรื่องนี้เท่านั้น
นับเป็นวิธีที่ชาญฉลาด อาศัยช่องกฎหมาย หาผลประโยชน์ เพื่อให้นิติบุคคล ซ้อน นิติบุคคล
นั้น คือ วัดมีเจ้าอาวาส เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายอยู่แล้ว
"แต่ก็ตั้งมูลนิธิขึ้นมาในวัดอีกชั้น"
เพื่อให้ประธานมูลนิธิเป็นอีก "หนึ่งนิติบุคคล"
ที่สามารถใช้อำนาจประธานนำเงินก้อนนี้ไปใช้ได้ "ตามอัธยาศัยของตน"".
- จบข้อมูลดิบครับ.
--------------------------------------------------------
- เรื่องการตั้งมูลมิธิ เพื่อเป็นนิติบุคคล ซ้อนนิติบุคคล แล้วก็เอามาเล่นแร่แปรธาตุ กับเงินอุดหนุนสังฆราชนั้น.
- ใครไม่เชื่อ จะพิสูจน์ก็แสนจะง่าย ๆ ครับ.
- เพียงแค่นำชื่อมูลนิธิที่จดทะเบียนในรั้ววัดบวรมากาง แล้วไล่บัญชี เงิน เข้า - ออก จากไหนไปไหน ใครเกี่ยวข้องบ้าง เพียงเท่านี้ ก็จะชัดเองครับ.
- ก็ขอแทรกตรงนี้หน่อยว่า..
"ทำอะไรก็รีบทำๆ และเตรียมเอกสารไว้เนิ่น ๆ นะครับ เผื่อวันไหน DSI เขาสนใจตรวจเมื่อไร จะได้ง่ายครับ - ผมเตือนคุณแล้วนะครับ".
---------------------------------------------------------
- ถึงตรงนี้ เป็นไงกันบ้าง ชัดเจนไหม? ครับ.
- สุดแสบไหมครับ กับ พฤติกรรม พวกเหลือบศาสนาที่ดูผิวเผินน่าเลื่อมใส ของ ขบวนการชั่วพวกนี้.
- แทบไม่น่าเชื่อเลยใช่ไหมครับว่า
- ไอ้เรื่องเน่า ๆ แบบนี้จะมีอยู่จริง ๆ ในแดนสนธยาที่ดูน่าเลื่อมใสศรัทธาแบบ"พระนิกายเคร่งที่สุดในประเทศไทยเรา".
- เรื่องนี้มีหรือครับ ที่คนภายนอกวัด สังคมคนนอกใครเขาจะไปล่วงรู้ได้.
- ซึ่งว่าไปแล้ว ก็เหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และวิญญาณบูรพาจารย์ผู้มีศักดิ์ใหญ่ ที่ประจำอยู่ ในวัดบวร ที่พระองค์ท่าน ไม่ยอมเล่นด้วยกับพวกชั่วนี้.
- ดังนั้นข้อมูลเน่าเหล่านี้ จึงได้ไหลออกจากวัดบวรกระจายไปทั่วไทย ซ้ำไหลเหม็นฟุ้งไปไกลถึง กรุงเบอร์ลิน อย่างแทบไม่น่าเชื่อ.
- แบบนี้ไม่เรียกว่า"บุญพระศาสนา จะเรียกว่าอะไรครับ".
--------------------------------------------------------
- ย้อนแสบไส้ แนะ พุทธอิสระ ยื่น สตง. ไปเลย : หากแน่จริง.
จริงหรือไม่ : คำถามจากสังคม
- ที่วัดแห่งหนึ่งที่อ้อน้อย ก็ได้ลอกเลียนรูปแบบ แห่งความชั่วนี้ เอาไปให้ทำมาหากินเช่นกัน.
- นั้นคือ ผมจะบอกให้ก็ได้ มันก็เป็นวิธีเดียว หรือตำราเล่มเดียวกันกับที่ "คล้าย"สตรีผู้มีศักดิ์ใหญ่ท่านนี้ ได้นำไปสอนให้แก่ พุทธอิสระ ได้ทำด้วยที่อ้อน้อย นะแหละครับ.
-------------------------------------------------
ทำชั่วกันยังไงมาดูกัน
ขอถามว่าเรื่องนี้ว่า ...ใช่หรือไม่ นั่นก็คือ
- โดย ตัว พุทธอิสระ แกก็ได้ตั้ง มูลนิธิ ขึ้นมาเพื่อ "พักเงิน" ที่มาจากแหล่งต่าง ๆ.
- จากนั้นแล้ว ตนเอง ก็ทำทีเป็นตีเนียน ทำทีลาออก จาก เจ้าอาวาส (เพื่อเลี่ยงกฏหมายสงฆ์ และกฏมหาเถรสมาคม).
- แล้วยังวางตัวเป็นพระโพธิสัตว์ คล้ายเป็นผู้เสียสละ ยืน-เดิน-นั่ง-นอน-กิน-ดื่ม-ทำ-พูด-คิด บนกระท่อมไม้ไผ่ ไม่ยึดติดลาภยศตำแหน่งแห่งที่อันใด (ซึ่งจริง ๆ แกก็ไม่ได้มีตำแหน่งใดๆ ในทางคณะสงฆ์อยู่แล้ว).
- โดยทำทีไปตั้งพระลูกศิษย์ขึ้นบังหน้า ให้มาเป็นเจ้าอาวาสแทน ทั้งที่ตัวเองควบคุมทุกอย่างไว้เบ็ดเสร็จอยู่แล้ว.
- แบบว่า สร้างเจ้าอาวาสเป็นนอมินีขึ้นมาเพื่อตบตาผู้คน นั้นเอง.
- ส่วนตัวเองก็ยืนบงการอยู่เบื้องหลัง คอยเชิด.
- เพื่อให้ชาวบ้านชาวเมืองยกยอ และอ้างว่า
"กู คือ พระโพธิสัตว์ บริสุทธิ์ผุดผ่อง
ไม่จับต้องเงินทอง ของนิสสัคคีย์
เพราะไม่มีเงินสะสมในบัญชี
ส่วนพระที่เหลือนอกนั้น
ที่มีบัญชีธนาคาร
เป็นพระอลัชชีชั่วทั้งหมด ?".
- ไอ้ลูกศิษย์ที่มันไม่เคยเข้าวัดไหน ๆ ไม่รู้เรื่องพระเรื่องเจ้า พอได้เห็นภาพมายาเช่นนี้.
- ก็พากันเฮตาม กลายเป็นสงฆ์ผู้วิเศษเหนือสมเด็จพระราชาคณะไปโน้น.
- เรื่องชั่วๆ แบบนี้? คนพันธ์ุนี้ มันสุดยอดอยู่แล้วครับ อย่าไปสงสัยเลย.
- หรือไม่งั้น ไอ้เรื่องชั่วๆ แบบนี้ ก็มีแต่ "พญาราชสีห์แก่ ๆ ขี้เรื้อน" ที่ทำผิด ทำชั่วได้สารพัดตัวนี้ เท่านั้นแหละ ที่คิดได้? ทำได้ครับ? ถือเป็นความสามารถเฉพาะตัวครับ.
----------------------------------------------------------
สังคมจึง อยากถามพุทธอิสระ ว่า ...
"คุณไปเอาก้อนไขมัน ในกระโหลก ส่วนไหนคิด มันจึงทำให้ พญาจิ้งจอกแห่งอ้อน้อย แห่งนี้ ถึงได้ฉลาดทางตำ่ พวกเฉโก แกมโกง และทำชั่วด้าน ๆ ได้ถึงเพียงนี้.
หรือว่ามี สตรีผู้มีศักดิ์ใหญ่ ณ บางลำพู เขาสอนมาให้ โดยเฉพาะ
เพื่อใช้วิธีเจ้าเล่ห์เพทุบาย ในการโกง อย่างฉลาดแบบเดียวกันกับที่จิกหัวใช้"หลวงป้า" นี้ หือ? (ไม่อยากเติมคำว่า "ไอ้หอก").
------------------------------------------------
- ถ้าพุทธอิสระ อยากแก้ไข ล้างบาป ที่ทำมาต่อเนื่องนี้ละก็.
- ผมว่า อย่ามาเสียเวลา ไปปลงอาบัติเลย นะครับ.
- เพราะเรื่องชั่วๆ หนักอย่างนี้ ปลงอาบัติไปเท่าไรเป็นปีเป็นชาติ มันก็ไม่ตกหรอกครับ พระธรรมวินัย ก็คงเกินรับไปแล้ว.
------------------------------------------------------------
เรื่องที่ 3.
- เจ้าคุณเบอร์ลิน : ย้อนเกร็ด ยุยื่น สตง.
แนะนำให้พุทธอิสระ
ไปนั่งร่าง นั่งทำหนังสือ แล้วให้เดินไปยื่นถาม สตง.อีกสักรอบว่า....
" การโอนเงินหลวง ส่วนสังฆราชนี้ โยกย้ายไปเข้า "บัญชีมูลนิธิ".
มันเข้าข่ายผิดระเบียบ ในการใช้จ่าย งบประมาณแผ่นดินหรือไม่? "
หรือ
"โอนเงินหลวง ไปเข้า "บัญชีมูลนิธิ" เข้าข่าย ยักยอก ยักย้ายถ่ายเท เงินหลวงไปเป็นของตน หรือไม่?".
และ
"คนทำนั้น มันมีอำนาจหน้าที่แห่งหนอะไร จึงเอาเงินที่สั่งจ่ายในนามพระสังฆราช ไปเข้าบัญชีมูลนิธิ".
- สิ่งลึกล้ำเหล่านี้ ขอให้ผู้เกี่ยวข้อง ทุกคน รวมทั้ง"หลวงป้า" ด้วย ก็คงต้องเตรียมตัวเตรียมตนคอยตอบ สตง. ให้ได้นะครับ ขอเตือนไว้ล่วงหน้า.
-------------------------------------------
- เพราะความผิดแบบพิศดารเช่นนี้ หากนำไปถามคนอื่น ๆ เขาคงไม่รู้เรื่อง ไม่ชัดเจน หรอกครับ.
- ดังนั้น ถ้าถาม สตง. จะได้คำตอบที่ชัดเจนที่สุด.
- แล้วคำตอบก็คิดดีๆ ก่อนนะครับ ขืนโชว์โง่ออกมาบอกว่า"โอนเข้ามูลนิธิ ไม่ผิด" ละก็.
- คำถามก็ตามยาวเลย เช่นว่า..
"เจ้าของเงินเขารับรู้รับเห็นหรือเปล่ามีหลักฐานอะไรยืนยัน"
"คนดำเนินการมีอำนาจ มีกฎหมายรองรับหรือเปล่า".
- สารพัดผิดเลยครับ คนเราก็เมื่อใจคดแล้ว ผลกรรมมันจะออกมาดีได้อย่างไร.
---------------------------------------------------
- แล้วก็ขอให้ พุทธอิสระ รีบไปถามก่อนใคร ๆ เสียนะครับ ขยันนักนี่เรื่องร้องเรียนนี่.
- เพราะอีกไม่นาน ขอให้จดจำคำพูดผมไว้ดี ๆ.
- เอาเป็นว่า สั้น ๆ ว่า...
"คงจะมีคนไปร้อง ซ้ำในเรื่องพุทธอิสระ ที่ได้เคยเซ่อไปยื่นร้องไว้ อย่างแน่นอนครับ".
--------------------------------------------------
- ทีนี้ คงถึงเวลา
"คดีความมาถึง แน่ๆ และประตูคุก ก็คงจะเปิดรอคนที่เกี่ยวข้องแล้วแหละ อย่าล้อเล่นนะครับ".
- ที่ผมพูดมาทั้งหมดนี้ ใช่หรือไม่ มึนหรือไม่มึน พญาจิ้งจอกแห่งอ้อน้อย? คงทราบดี.
---------------------------------------------------
- คราวนี้ ผมว่า คงได้หายบ้ากันสักทีนะที่นี้ สำหรับความหยิ่งผะยองของ"ไอ้แก๊งค์ชั่วทำลายศาสนา" พวกนี้ ที่นับวันจะใหญ่คับประเทศไปแล้ว.
- หรือมันจะบ้ากว่าเก่าก็ได้นะครับงานนี้.
- แต่อย่าลืมนะครับ อันคนทำผิดนั้น ยิ่งดิ้น มันก็จะยิ่งเผยชั่ว และหมดแรงไปในที่สุด.
-------------------------------------------------------------
เรื่องที่ 4.
- ส่องเส้นทางเดิน เงินอุดหนุนสังฆราช ซับซ้อนแต่ทิ้งหลักฐาน
เงินหลวง เป็นเงินศักดิ์สิทธิ์ : แถมเงินสงฆ์ยิ่งกรรมหนัก
ตามรายงานของทางราชการ
ที่ผมมีอยู่ในมือขณะนี้..
ดังนี้
"เงินหลวง ก้อนนี้ ได้ถูกตีเช็ค ออกจาก สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ใน พระนาม สมเด็จพระสังฆราช แล้วเดินทางไปที่ โรงพยาบาลจุฬาฯ ที่ประทับระหว่างประชวร
โดยมีเจ้าคุณเทพฯ เป็นผู้รับ พร้อมเซ็นใบรับเงิน
จากนั้น เงินก้อนนี้ ก็จะเดินทางต่อไปยังวัดบวร
เพื่อ"แปลงสภาพเข้ามูลนิธิ"
เป็นมูลนิธิที่สตรีผู้มีศักดิ์ใหญ่ ได้จัดตั้งไว้รองรับโดยเฉพาะ
ที่ตนเองมีอำนาจควบคุมเบ็ดเสร็จ.".
----------------------------------------------------
- เรื่องนี้ ผมชี้ขนาดนี้ ระดับ DSI. หากสนใจคงไม่ยากที่จะสืบหานะครับ ก็เห็นขยันเรื่องพระนักนี่ครับ จะไม่สนใจบ้างหรือครับ เรื่องแบบนี้.
------------------------------------------------------------
เงิน 300 ล้านบาท : บ่วงอาญาสวรรค์ ที่ย้อนมารัดคอแก๊งค์ทำลายศาสนาเสียเอง.
- ดังนั้น ณ วันนี้ เงินหลวงกว่า 300 ล้าน จึงกลายเป็นบ่วงอาญาสวรรค์ ที่กลายเป็นกับดัก และได้รัดคอ พญาราชสีห์ ให้ติดไว้กับหลักประหาร เสียเอง แบบตายน้ำตื้น.
- นับวัน ที่มีชีวิตอยู่ต่อ ก็เพื่อรอวันพิพากษา และรับการลงทัณฑ์ จาก ทหารสวรรค์ ผู้ไม่เกรงกลัวหน้าอินทร์หน้าพรหม ที่ชื่อ เจ้าคุณเบอร์ลิน ชนิดฟ้าส่งมาคู่กัน อย่างเกินคาด ไปเท่านั้น - คอยดูต่อไป(นี่ไม่ใช่การขู่).
---------------------------------------------
- ดังนั้น ด้วยเหตุนี้ จึงชัดเจนว่า ...
- ไฟอาฆาตแค้นได้ประทุขึ้นมา และได้แผดเผาจิตใจของพญาราชสีห์ให้เดือดดาล คลุ้มคลั่ง หมดสภาพพระโพธิสัตว์ผู้สำรวมไปจนหมดสิ้น ชนิดเกินควบคุมสติ อย่างรุนแรงเข้าแล้ว.
- ซึ่งทุกคนต่างก็ได้เห็น อากับกิริยา ของ พญาราชสีห์ จอมโว ที่ขณะนี้ ได้ออกเที่ยวไล่กัดคนไปทั่ว.
- ซึ่งผมเองดูๆ ไป ก็ไม่ต่างจาก "หมาบ้าเดือนห้า" ที่ถูกอากาศเมืองไทยอันระอุแผดเผา จนอาการบ้าขึ้นสมอง จึงไล่กัดคนไม่เลือกหน้า ดังที่เห็นกันทุกวันนี้.
- สิ่งที่ "พุทธอิสระ". ทำ มันไม่ใช่วิสัยพระสงฆ์ผู้ปฎิบัติดี ที่พึงกระทำแน่นอนครับ.
- เช่น เมื่อฆราวาสญาติโยม ที่ห่วงพระศาสนา เขายื่นขอดีเบตอย่างบัณฑิตวิสัยพึงกระทำ ในประเด็นที่...
"พุทธอิสระไปใส่ความสมเด็จช่วง ด้วยเรื่องเงิน 300 ล้าน ของ พระสังฆราช และ เรื่องพระลิขิต".
- ที่จะจริงหรือปลอมก็ยังไม่รู้นั่น.
- เพื่อให้ยึดหลักฐานที่ตำรวจกองพิสูจน์หลักฐานเขาพิสูจน์ไว้แล้ว ตัดสินไว้แล้ว.
- ว่า มันสิ้นสุดอย่างไร.
- จริงหรือมีการปลอมแปลง.
- เรื่องราว ก็จะได้ข้อยุติ กันสักที สังคมสับสนวุ่นวายมาเกินทนแล้ว.
- นี่อะไร วัน ๆ เห็นเอาแต่ผายลม ปากพ่นกลิ่นเหม็น สำรอกสิ่งโสโครก จนส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว โดยไม่ใส่ใจความถูกต้องชอบธรรมใดๆ.
- ชั่งไม่สมคาราคุยเลยจริงๆ.
- ท่านทั้งหลายทราบไหมครับว่า..
-สิ่งที่ได้รับจากการยื่นไมตรีจิต ต่อ พุทธอิสระ ของบัณฑิตฆราวาส คือ อะไร
- คือการถูก พุทธอิสระ ได้เที่ยวไล่แจ้งความ เอาผิดฐานดูหมิ่นเหยียดหยาม ทำให้ พุทธอิสระ ได้รับความอับอายไปโน้น.
- ตรงนี้ ผมก็พาลจะสงสัยครับว่า คนอย่าง พุทธอิสระ นี่นะหรือที่ "รู้จักอับอาย".
- ผมจะบ้าตาย คนอย่าง พุทธอิสระ รู้จักอับอายเป็นกับเขาด้วย เพราะพฤติกรรมที่ผ่านมาของแกนั้นใคร ๆ เขาก็แจ้งทั่วประเทศ.
- ว่าไปแล้ว ดูๆ ไป ก็เหมือนโลกมันชักจะผิดเพี้ยนหมุนกลับหัวกลับหาง ผิดฝาผิดตัว ผิดเหลี่ยมผิดมุม ไปมากแล้วละครับในทุกวันนี้.
- เพราะยุคนี้ เกิดมีคนหัวโล้น รูปชั่วตัวดำ ดันลุกขึ้นมาบอกว่า..
"ตนเป็นพระ นุ่งผ้าเหลือง"
พูดเหมือนกลัวเขาไม่เชื่อว่าตนเองเป็นอะไรกันแน่ เพราะนับวัน ความประพฤติมันตรงข้ามสวรรค์ไปทุกที".
- คนหัวโล้นที่ว่านี้ กลับมีพฤติกรรมผิดจากผู้ทรงศีลทั่วไป เพราะวัน ๆ มัวแต่มานั่งกางกฎหมายโลก ว่าจะเอาผิดใครได้บ้าง ไม่สนกฎหมายธรรมใดๆ ดังอ้างเลย.
- ดูเหมือนทุกลมหายใจ ได้แต่นั่งภาวนาพูดแต่ภาษากฎหมาย ของชาวบ้านทั้งวันทั้งคืน.
- ทั้งยัง ออกมาเล่นละครสวมบทบาท อันธพาลครองเมือง เที่ยว ไล่ฟ้องร้องเอาผิด กับ คนนุ่งผ้าลายไปทั่วเสียอีก.
- ส่วนคนหัวดำ ที่นุ่งผ้าลาย มาวันนี้ กลับกลายเป็นผู้ทรงธรรมมากกว่า.
- เพราะกลับมาทำการอ้อนวอน ขอให้คนหัวโล้น หน้าผีที่ว่าข้างต้นนั้น ให้หันมาพูดคุยกันโดยธรรม โดยวินัย บ้าง มันเป็นชะยังงั้น.
- ดูมันชักจะเพี้ยนใหญ่แล้วครับ โลกทุกวันนี้.
----------------------------------------------------
สรุปว่า
- ณ วันนี้ จะเห็นได้ชัดว่า ภายใต้ผ้าสบง อันสกปรกโสมม ของ พุทธอิสระ ที่สตรีผู้มีศักดิ์ใหญ่ ได้แอบแฝงกายหลบซ่อนอยู่ เพื่อก่อกรรมทำเข็น ต่อคณะสงฆ์ และสร้างแต่สิ่งชั่วร้ายอยู่ทุกขณะนั้น.
- ก็ขออย่าได้หลงผิดคิดว่า ใครเขาไม่รู้ และไม่กล้าตอแยอีกเลย.
- เพราะว่ายุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้วครับ ตื่นจากฝันยุคพวกคุณเรืองอำนาจเสียเถอะครับ อย่าเพ้อมากไปกว่านี้เลย.
- เพราะความชั่วครั้งนี้นั้น "มันใหญ่มันแรงนัก" .
- มันก็หาปิดมิดไม่ ถึงคนไม่รู้เทวดาท่านก็เห็น วิญญาณท่านบูรพาจารย์วัดบวรท่านยังไม่ยอมแน่.
- ทุกอย่าง ทุกพฤติกรรม ของท่าน กำลังถูกสังคม ช่วยกันลอกคาบ จับเปลื้องผ้า นำความชั่วออกมาประจานกันหนักขึ้นทุกวันแล้ว.
- และต่อนี้ไป มันก็ไม่ได้รอดพ้น จาก สายชาวบ้านไปเลยเสียแล้ว.
- ถามอีกรอบว่า " เรื่องราวเน่า ๆ ได้ถูกนำมาประจาน มากถึงขนาดนี้แล้ว "ท่าน" ยังมีหน้าอยู่ในสังคมอีกหรือ ท่านไม่อายเขาเลยหรือ
ทั้งท่านหลวงป้า และท่านสตรีผู้มีศักดิ์ใหญ่ นะแหละ".
(ส่วนพุทธอิสระผมไม่ถามคำนี้ เพราะคงเลยขั้นนี้ไปไกลแล้ว).
- และการที่จะคิดมาเสี่ยง จะมาแลกหมัด กับ เจ้าคุณเบอร์ลิน อีกนะครับ ถ้า " คิดผิดคิดใหม่ได้ " นะครับ.
- เอาละ ครับ ในวันนี้ ผมขอพูดฝากแก๊งค์ "หลวงป้า" เพียงแค่นี้ ก่อนนะครับ.
- หากขืนพูดมาก อากาศมันร้อน เกิดผมมีน้ำโหขึ้นมา (โมโหแต่กับคนชั่ว) เดี๋ยวจะเบรคเอาไว้ไม่อยู่ แล้ว..
"มันจะพังกันไปหมด".
- อีกอย่าง เดี๋ยว "หลวงป้า" และโยมหญิงแม่ god mother นอกอุทร ก็อาจจะได้ร่วมกันฉลองคดีกันในคุกก่อนกำหนด.
- ในข้อหา เล่นแร่แปรธาตุ โยกเงินหลวง งาบเงินอาจารย์ของตัวเอง ไปเข้า มูลนิธิ ในข้างต้นนั้น ด้วยก็ได้.
--------------------------------------------------------
- ถึงตรงนี้ ผมก็ไม่อยากจะชี้ช่องให้มวลคณะศิษย์ ฝ่ายกฎหมาย ของ วัดพระธรรมกาย ทั้งหลายว่า..
" พวกท่านไม่สนใจ ที่จะเอาเรื่อง โยกเงินพิศดารนี้ไปสอบถาม DSI กันบ้างหรือว่า ..
ไอ้พฤติกรรมสุดชั่ว ของคณะ"หลวงป้า" นี้ ว่า..
"มันเข้าข่าย ฟอกเงินด้วยหรือเปล่า ?
เพราะนี่มัน "จะจะ" ยิ่งกว่า กรณี ของ
หลวงพ่อธัมมชโย
ที่โดน DSI ยัดเยียดคดีแบบหามรุ่งหามค่ำ
เยอะเลย".
--------------------------------------------
ปิดท้าย
- ยังไง ๆ อันเรื่องราวสุดเน่าเหม็น ที่ไม่น่าเชื่อว่า "พระ และคน ที่ดูดีแสนดี ในภายนอก" นั้น แต่ทำไมจึงมีจิตใจสุดชั่วเกินมนุษย์มนาไปได้.
- ถึงตรงนี้ก่อนจบ เมื่อกลุ่ม "หลวงป้า" และสตรีผู้มีศักดิ์ใหญ่ที่ผมได้สาธยายมาทั้งหมดในข้างต้นนั้น ถ้าได้มาอ่านเจอโพสต์ตรงนี้ของผมแล้ว.
- ผมก็หวังว่า "จะมีสติ" ขึ้นมาบ้าง.
- ส่วนเมื่อเรียกสติกลับมาแล้ว "จะดันต่อไปให้มันพังราบไปทั้งหมด หรือจะหยุดทำชั่ว เพื่อถอยห่างนรก" ก็ให้เอาไปคิดเอง แก่จะเข้าโลงกันอยู่แล้ว คงคิดดีออกมาบ้างแหละ.
- ขอเตือนไว้ก่อนนะครับ ว่า "อย่าประมาท เจ้าคุณเบอร์ลิน" พิจารณาดูก็จะเห็นเองว่า ..
- สถานการณ์ตอนนี้มันก็เหมือน "หอกที่ตัวเองเคยใช้เป็นอาวุธทิ่มคณะสงฆ์นั้น บัดนี้ มันหันกลับมาจ่อที่คอหอยตนเองเข้าให้แล้ว".
- ยังไง ๆ ผมก็ขอส่งใจช่วย ขอให้ผ่านเทศกาลวิสาขบูชาปีนี้ ไปก่อนก็ยังดี นะ"หลวงป้า" นะ .
- อย่าให้เรื่องมันบานออกไปมากกว่านี้ ก่อนเวลาเลย.
- เพราะช่วงวิสาขะนั้น จะมีชาวพุทธนานาชาติ เดินทางมาร่วมประชุมกันทั่วโลก.
- ถ้าขืนมีเรื่องถึงโรงถึงศาล กับเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ สำหรับพระมหาเถระนิกายเคร่ง ๆ อย่าง"หลวงป้า". แบบนี้ละก็..
"มันยิ่งกว่า ตายทั้งเป็น เสียอีกนะ ผมว่า เพราะลำพังแค่ใบหน้า ก็คงไม่รู้จะไปซุกที่ไหนดีแล้ว".
- อีกอย่างปี 2559 นี้ ผู้เข้าร่วมประชุมคงได้ข้อมูลเน่า ๆ ของ "หลวงป้า" เป็นของแถมกลับประเทศตัวเองเป็นแน่แท้.
- ซ้ำไอ้ที่หวัง "ส้มหล่น" นั้น ก็อาจเลื่อนเป็นชาติหน้าแทนชาตินี้ก็ได้นะครับผม.
- ชาตินี้เอาคดีอมเงินสังฆราชนี้ ไปก่อนก็แล้วกัน นะครับ "หลวงมนุษย์ป้า".
โชคดีมีชัยทุกท่านครับ
เจ้าคุณเบอร์ลิน
28.04.2016
แนบภาพประกอบ จำนวน ๒ ภาพ.