ยินดีต้อนรับ

พลเมืองที่รอบรู้เท่าทัน คือ พลังประชาธิปไตยที่แท้จริง
Well-informed citizens are the true democratic forces.

Tuesday, April 12, 2016

สารจาก ดร. ทักษิณ ชินวัตร

สารจาก ดร. ทักษิณ ชินวัตร
-
13 เมษายน 2559
-
ประเพณีสงกรานต์ถือเป็นวัฒนธรรมที่สืบต่อกันมายาวนาน เป็นช่วงเวลาที่คนไทยทุกครอบครัวจะได้มาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน และสานความสัมพันธ์ร่วมกัน
-
ทุกวันนี้โครงสร้างประชากรของไทยเรากำลังจะก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยเต็มขั้นในปี พ.ศ.2570 ที่จะมีคนสูงวัยมากกว่าคนวัยทำงาน ขณะเดียวกัน เยาวชนคนรุ่นใหม่ก็ต้องเป็นหลักให้พึ่งพิงมากขึ้นทั้งในเรื่องการศึกษาและการทำงาน ดังนั้นเราควรจะต้องแสวงหาวิธีที่อยู่ร่วมกันอย่างราบรื่นของคนสองวัย การอยู่ร่วมกันระหว่างเทคโนโลยีรุ่นใหม่และภูมิปัญญาประเพณีวัฒนธรรมดั้งเดิมที่สืบต่อกันมา
-
ในวาระเทศกาลสงกรานต์ที่ครอบครัวได้อยู่กันพร้อมหน้านี้ จึงเป็นโอกาสที่ดีที่ผู้ใหญ่ก็จะได้เรียนรู้วิถีชีวิตและความคิดของเด็กรุ่นใหม่ และลูกหลานเองก็จะได้ใช้เวลาในการขอขมาในสิ่งที่ผิดพลั้งไปและรับฟังคำสอนที่ดีๆของผู้ที่เคยมีประสบการณ์มาก่อน เพื่อสร้างความเข้าใจที่ดีร่วมกัน เห็นอกเห็นใจกัน ทำให้สังคมต่างวัยอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขและก้าวหน้า
-
สงกรานต์ปีนี้ผมขออวยพรให้ทุกท่าน เริ่มต้นปีใหม่ไทยด้วยความรัก ความเข้าใจ และความหวังดีต่อกัน เพื่อผ่านพ้นความยากลำบากต่างๆที่เข้ามาในชีวิตและประสบแต่ความสุขความเจริญไปด้วยกันครับ
-
รักและห่วงใยพี่น้องไทยเสมอ
ดร. ทักษิณ ชินวัตร


สารจาก ดร. ทักษิณ ชินวัตร

สารจาก ดร. ทักษิณ ชินวัตร
-
13 เมษายน 2559
-
ประเพณีสงกรานต์ถือเป็นวัฒนธรรมที่สืบต่อกันมายาวนาน เป็นช่วงเวลาที่คนไทยทุกครอบครัวจะได้มาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน และสานความสัมพันธ์ร่วมกัน
-
ทุกวันนี้โครงสร้างประชากรของไทยเรากำลังจะก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยเต็มขั้นในปี พ.ศ.2570 ที่จะมีคนสูงวัยมากกว่าคนวัยทำงาน ขณะเดียวกัน เยาวชนคนรุ่นใหม่ก็ต้องเป็นหลักให้พึ่งพิงมากขึ้นทั้งในเรื่องการศึกษาและการทำงาน ดังนั้นเราควรจะต้องแสวงหาวิธีที่อยู่ร่วมกันอย่างราบรื่นของคนสองวัย การอยู่ร่วมกันระหว่างเทคโนโลยีรุ่นใหม่และภูมิปัญญาประเพณีวัฒนธรรมดั้งเดิมที่สืบต่อกันมา
-
ในวาระเทศกาลสงกรานต์ที่ครอบครัวได้อยู่กันพร้อมหน้านี้ จึงเป็นโอกาสที่ดีที่ผู้ใหญ่ก็จะได้เรียนรู้วิถีชีวิตและความคิดของเด็กรุ่นใหม่ และลูกหลานเองก็จะได้ใช้เวลาในการขอขมาในสิ่งที่ผิดพลั้งไปและรับฟังคำสอนที่ดีๆของผู้ที่เคยมีประสบการณ์มาก่อน เพื่อสร้างความเข้าใจที่ดีร่วมกัน เห็นอกเห็นใจกัน ทำให้สังคมต่างวัยอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขและก้าวหน้า
-
สงกรานต์ปีนี้ผมขออวยพรให้ทุกท่าน เริ่มต้นปีใหม่ไทยด้วยความรัก ความเข้าใจ และความหวังดีต่อกัน เพื่อผ่านพ้นความยากลำบากต่างๆที่เข้ามาในชีวิตและประสบแต่ความสุขความเจริญไปด้วยกันครับ
-
รักและห่วงใยพี่น้องไทยเสมอ
ดร. ทักษิณ ชินวัตร


ขันแดงแสลงใจ

ขันแดงแสลงใจ

คอลัมน์ : ถนนประชาธิปไตย
ผู้เขียน : สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ

เรื่องที่ไม่น่าจะเป็นเรื่องก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาได้ภายใต้บริบทของรัฐบาลเผด็จการทหารสุดขั้วของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่นคือเรื่อง "ขันแดง" ที่จะนำมาสู่การคลายร้อนในเทศกาลสงกรานต์ 2559 นี้

เริ่มตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์ไทยรัฐได้ลงภาพข่าวและข้อความบรรยายในหน้า 1 ถึงสตรีคนหนึ่งถ่ายรูปคู่กับขันสีแดงและเขียนบรรยายภาพว่า "สงกรานต์ม๋วนใจ๋ ชาวบ้านใน จ.เชียงใหม่ ยิ้มปลื้มอวดขันน้ำสีแดงที่เขียนคำอวยพร "สวัสดีสงกรานต์ปีใหม่ไทย 2559" จากนายทักษิณ ชินวัตร และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีแจกไปในชุมชนต่างๆให้ชาวบ้านได้ใช้สาดน้ำเล่นสงกรานต์ที่จะมีการจัดงานประหยัดน้ำเล่นสงกรานต์หรือปีใหม่เมืองเจียงใหม่" และมีภาพอดีตนายกฯทักษิณและยิ่งลักษณ์แสดงท่าสวัสดี

กล่าวกันว่าภาพนี้ทำให้ผู้นำทหารของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เกิดการแสลงใจ ดังนั้น ในบ่ายวันเดียวกันเจ้าหน้าที่ทหารจากมณฑลทหารบกที่ 33 จึงได้ควบคุมตัวธีรวรรณ เจริญสุข ชาวบ้านสันกำแพงที่อยู่ในภาพ ไปฝากขังที่ทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่ โดยแจ้งข้อหาว่าแสดงภาพขันน้ำขัดความมั่นคง และจะนำตัวไปขึ้นศาลทหารตามมาตรา 116 ประกอบประกาศ คสช. ฉบับที่ 37

แม้ต่อมาธีรวรรณจะได้รับการประกันตัวด้วยหลักทรัพย์ 100,000 บาท แต่ในวันที่ 30 มีนาคม เจ้าหน้าที่ทหารก็ได้เรียกตัวนายชัยพินธ์ ขัติยะ ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐภาคเหนือ ไปพูดคุยทำความเข้าใจในค่ายกาวิละ โดยอธิบายว่าเรื่องขันสีแดงนี้มี "ความละเอียดอ่อน" การนำเสนอข่าวอาจสร้างความแตกแยก และพยายามถามหาผู้ถ่ายภาพดังกล่าว จนผู้สื่อข่าวไทยรัฐต้องอธิบายว่าภาพนี้นำมาจากโซเชียลมีเดีย และการเสนอข่าวก็ไม่ได้มีนัยทางการเมือง เพียงแต่จะทำข่าวรณรงค์ให้ประหยัดน้ำในช่วงสงกรานต์เท่านั้น

ความจริงต้องถือว่าการดำเนินการเช่นนี้ของ คสช. เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องชอบธรรมอย่างยิ่ง เพราะตามมาตรา 116 ที่อ้าง อธิบายความผิดไว้ว่า ต้องเป็นการกระทำที่จะก่อให้เกิด "การเปลี่ยนแปลงในกฎหมาย รัฐบาล ด้วยการใช้กำลัง ข่มขืนใจ หรือทำให้เกิดความปั่นป่วนจนสร้างความไม่สงบขึ้นในประเทศ หรือทำให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแต่อย่างใด"

แต่เรื่องขันสีแดงไม่มีลักษณะเช่นนั้นเลย กรณีนี้จึงเป็นที่วิจารณ์ในทางตลกขบขันในหลายสื่อว่า คณะทหารไทยวิตกจริตจนเกินเหตุ การดำเนินการดังกล่าวยิ่งทำให้กระบวนการทางกฎหมายไทยถูกมองว่ากลายเป็นสิ่งเหลวไหลมากยิ่งขึ้น

แต่เหตุการณ์ก็ไม่ได้ยุติลง เพราะวันที่ 3 เมษายน คณะทหารจากมณฑลทหารบกที่ 38 และเจ้าหน้าที่ตำรวจเมืองน่าน พากันไปตรวจค้นบ้านที่ อ.เมือง ของนางสิรินทร รามสูต อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย โดยอ้างว่า ได้สืบทราบว่าที่บ้านหลังดังกล่าวมีขันสีแดงที่มีข้อความและลายเซ็นของอดีตนายกฯทักษิณไว้ในครอบครอง จึงได้มีการตรวจค้นและยึดขันน้ำสีแดงได้รวมทั้งสิ้น 8,862 ใบ จากนั้นได้ไปตรวจค้นสำนักงานที่ อ.ปัว ของนายณัฐพงษ์ สุปริยศิลป์ อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย ยึดขันสีแดงได้ 1,100 ใบ และค้นสำนักงานของ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่ อ.เวียงสา ยึดขันแดงได้อีก 1,500 ใบ โดยเจ้าหน้าที่ยืนยันว่าขันน้ำสีแดงทั้งหมดเข้าข่ายความผิดต่อความมั่นคงของชาติ

น่าจะเป็นเพราะการจับกุมและยึดขันน้ำสีแดงของฝ่ายเจ้าหน้าที่ทั้งหมดอ้างกฎหมายตามอำเภอใจและไม่เห็นเป็นความผิดที่ชัดเจน ในวันที่ 3 เมษายน พล.อ.ประยุทธ์จึงอธิบายกรณีนี้โดยโยงเข้ากับศาสนาว่า "บางกรณีที่อาจไม่เข้าข่ายความผิดก็ต้องไปตรวจสอบถึงเจตนาของผู้แจก ซึ่งเห็นว่าการกระทำบางอย่างควรจะละอายต่อบาปหรือมีหิริโอตตัปปะ แม้จะนับถือพระพุทธศาสนาก็ไม่ควรจะเลือกถือศีลบางข้อ ควรยึดถือและปฎิบัติทุกข้อ" แต่ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้กล่าวเลยว่าการมีขันสีแดงในครอบครองเป็นบาปอย่างไร ยิ่งทำให้หลักเหตุผลดูไร้สาระมากขึ้น เพราะเรื่องบาปกับเรื่องผิดกฎหมายไม่อาจถือเป็นเรื่องเดียวกันได้เลยในทางนิติธรรม

กรณีเรื่องการจับกุมขันสีแดง เมื่อพิจารณาร่วมกับเรื่องอื่นที่ คสช. กระทำ เช่น การจับนักการเมืองที่เห็นต่างไปปรับทัศนคติ หรือความพยายามที่จะใช้กฎหมายไปจับกุมผู้ที่แสดงทัศนคติคัดค้านรัฐธรรมนูญ ยิ่งเป็นการย้ำถึงความไร้หลักการและไร้เหตุผลของกลุ่มทหารที่ปกครองบ้านเมือง

แต่ที่น่าแปลกใจคือ ในความไร้เหตุผลเช่นนี้ พวกอนุรักษ์นิยมและกลุ่มเหลืองสลิ่มยังหลับตาอธิบายความชอบธรรมของการรัฐประหารและสร้างกระแสเชียร์รัฐธรรมนูญฉบับมีชัยอย่างไร้เหตุผล

บทความนี้ขอจบด้วยบทกวี "กลุ่มอาการขันแตก" ของเกษียร เตชะพีระ คือ

"อำนาจยิ่งแผ่กว้างถ่างแขนขา

ถึงขันน้ำกะโหลกกะลาไม่ปราศรัย

ชูสามนิ้วแซนด์วิชมันผิดใจ

สั่งกรีธาทัพไปทุกมณฑล

คือนิยามสิ่งต่างต่างกว้างทุกทิศ

นี่ก็ผิดนั่นก็ผิดทุกแห่งหน

การต่อต้านพาลง่ายคล้ายเล่นกล

ศัตรูปรากฏตนไม่หยุดเอย"



ขันแดงแสลงใจ

ขันแดงแสลงใจ

คอลัมน์ : ถนนประชาธิปไตย
ผู้เขียน : สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ

เรื่องที่ไม่น่าจะเป็นเรื่องก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาได้ภายใต้บริบทของรัฐบาลเผด็จการทหารสุดขั้วของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่นคือเรื่อง "ขันแดง" ที่จะนำมาสู่การคลายร้อนในเทศกาลสงกรานต์ 2559 นี้

เริ่มตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์ไทยรัฐได้ลงภาพข่าวและข้อความบรรยายในหน้า 1 ถึงสตรีคนหนึ่งถ่ายรูปคู่กับขันสีแดงและเขียนบรรยายภาพว่า "สงกรานต์ม๋วนใจ๋ ชาวบ้านใน จ.เชียงใหม่ ยิ้มปลื้มอวดขันน้ำสีแดงที่เขียนคำอวยพร "สวัสดีสงกรานต์ปีใหม่ไทย 2559" จากนายทักษิณ ชินวัตร และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีแจกไปในชุมชนต่างๆให้ชาวบ้านได้ใช้สาดน้ำเล่นสงกรานต์ที่จะมีการจัดงานประหยัดน้ำเล่นสงกรานต์หรือปีใหม่เมืองเจียงใหม่" และมีภาพอดีตนายกฯทักษิณและยิ่งลักษณ์แสดงท่าสวัสดี

กล่าวกันว่าภาพนี้ทำให้ผู้นำทหารของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เกิดการแสลงใจ ดังนั้น ในบ่ายวันเดียวกันเจ้าหน้าที่ทหารจากมณฑลทหารบกที่ 33 จึงได้ควบคุมตัวธีรวรรณ เจริญสุข ชาวบ้านสันกำแพงที่อยู่ในภาพ ไปฝากขังที่ทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่ โดยแจ้งข้อหาว่าแสดงภาพขันน้ำขัดความมั่นคง และจะนำตัวไปขึ้นศาลทหารตามมาตรา 116 ประกอบประกาศ คสช. ฉบับที่ 37

แม้ต่อมาธีรวรรณจะได้รับการประกันตัวด้วยหลักทรัพย์ 100,000 บาท แต่ในวันที่ 30 มีนาคม เจ้าหน้าที่ทหารก็ได้เรียกตัวนายชัยพินธ์ ขัติยะ ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐภาคเหนือ ไปพูดคุยทำความเข้าใจในค่ายกาวิละ โดยอธิบายว่าเรื่องขันสีแดงนี้มี "ความละเอียดอ่อน" การนำเสนอข่าวอาจสร้างความแตกแยก และพยายามถามหาผู้ถ่ายภาพดังกล่าว จนผู้สื่อข่าวไทยรัฐต้องอธิบายว่าภาพนี้นำมาจากโซเชียลมีเดีย และการเสนอข่าวก็ไม่ได้มีนัยทางการเมือง เพียงแต่จะทำข่าวรณรงค์ให้ประหยัดน้ำในช่วงสงกรานต์เท่านั้น

ความจริงต้องถือว่าการดำเนินการเช่นนี้ของ คสช. เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องชอบธรรมอย่างยิ่ง เพราะตามมาตรา 116 ที่อ้าง อธิบายความผิดไว้ว่า ต้องเป็นการกระทำที่จะก่อให้เกิด "การเปลี่ยนแปลงในกฎหมาย รัฐบาล ด้วยการใช้กำลัง ข่มขืนใจ หรือทำให้เกิดความปั่นป่วนจนสร้างความไม่สงบขึ้นในประเทศ หรือทำให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแต่อย่างใด"

แต่เรื่องขันสีแดงไม่มีลักษณะเช่นนั้นเลย กรณีนี้จึงเป็นที่วิจารณ์ในทางตลกขบขันในหลายสื่อว่า คณะทหารไทยวิตกจริตจนเกินเหตุ การดำเนินการดังกล่าวยิ่งทำให้กระบวนการทางกฎหมายไทยถูกมองว่ากลายเป็นสิ่งเหลวไหลมากยิ่งขึ้น

แต่เหตุการณ์ก็ไม่ได้ยุติลง เพราะวันที่ 3 เมษายน คณะทหารจากมณฑลทหารบกที่ 38 และเจ้าหน้าที่ตำรวจเมืองน่าน พากันไปตรวจค้นบ้านที่ อ.เมือง ของนางสิรินทร รามสูต อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย โดยอ้างว่า ได้สืบทราบว่าที่บ้านหลังดังกล่าวมีขันสีแดงที่มีข้อความและลายเซ็นของอดีตนายกฯทักษิณไว้ในครอบครอง จึงได้มีการตรวจค้นและยึดขันน้ำสีแดงได้รวมทั้งสิ้น 8,862 ใบ จากนั้นได้ไปตรวจค้นสำนักงานที่ อ.ปัว ของนายณัฐพงษ์ สุปริยศิลป์ อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย ยึดขันสีแดงได้ 1,100 ใบ และค้นสำนักงานของ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่ อ.เวียงสา ยึดขันแดงได้อีก 1,500 ใบ โดยเจ้าหน้าที่ยืนยันว่าขันน้ำสีแดงทั้งหมดเข้าข่ายความผิดต่อความมั่นคงของชาติ

น่าจะเป็นเพราะการจับกุมและยึดขันน้ำสีแดงของฝ่ายเจ้าหน้าที่ทั้งหมดอ้างกฎหมายตามอำเภอใจและไม่เห็นเป็นความผิดที่ชัดเจน ในวันที่ 3 เมษายน พล.อ.ประยุทธ์จึงอธิบายกรณีนี้โดยโยงเข้ากับศาสนาว่า "บางกรณีที่อาจไม่เข้าข่ายความผิดก็ต้องไปตรวจสอบถึงเจตนาของผู้แจก ซึ่งเห็นว่าการกระทำบางอย่างควรจะละอายต่อบาปหรือมีหิริโอตตัปปะ แม้จะนับถือพระพุทธศาสนาก็ไม่ควรจะเลือกถือศีลบางข้อ ควรยึดถือและปฎิบัติทุกข้อ" แต่ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้กล่าวเลยว่าการมีขันสีแดงในครอบครองเป็นบาปอย่างไร ยิ่งทำให้หลักเหตุผลดูไร้สาระมากขึ้น เพราะเรื่องบาปกับเรื่องผิดกฎหมายไม่อาจถือเป็นเรื่องเดียวกันได้เลยในทางนิติธรรม

กรณีเรื่องการจับกุมขันสีแดง เมื่อพิจารณาร่วมกับเรื่องอื่นที่ คสช. กระทำ เช่น การจับนักการเมืองที่เห็นต่างไปปรับทัศนคติ หรือความพยายามที่จะใช้กฎหมายไปจับกุมผู้ที่แสดงทัศนคติคัดค้านรัฐธรรมนูญ ยิ่งเป็นการย้ำถึงความไร้หลักการและไร้เหตุผลของกลุ่มทหารที่ปกครองบ้านเมือง

แต่ที่น่าแปลกใจคือ ในความไร้เหตุผลเช่นนี้ พวกอนุรักษ์นิยมและกลุ่มเหลืองสลิ่มยังหลับตาอธิบายความชอบธรรมของการรัฐประหารและสร้างกระแสเชียร์รัฐธรรมนูญฉบับมีชัยอย่างไร้เหตุผล

บทความนี้ขอจบด้วยบทกวี "กลุ่มอาการขันแตก" ของเกษียร เตชะพีระ คือ

"อำนาจยิ่งแผ่กว้างถ่างแขนขา

ถึงขันน้ำกะโหลกกะลาไม่ปราศรัย

ชูสามนิ้วแซนด์วิชมันผิดใจ

สั่งกรีธาทัพไปทุกมณฑล

คือนิยามสิ่งต่างต่างกว้างทุกทิศ

นี่ก็ผิดนั่นก็ผิดทุกแห่งหน

การต่อต้านพาลง่ายคล้ายเล่นกล

ศัตรูปรากฏตนไม่หยุดเอย"



ชี้ผิดชี้ถูก 10 เมษ 59

ชี้ผิดชี้ถูก 10 เมษ 59

ไทยรัฐ เผยแผนยึดประเทศของ คสช.​ โดยยึดแนวจีน ตั้งแต่สิงหาคม 2557!!!!

"โปลิตบูโร" สูตรสำเร็จ คสช.

โดย สายล่อฟ้า 25 ส.ค. 2557 05:01
6,124 ครั้ง


วาระนี้ก็คือการรอลุ้นว่าใครจะเข้ามาเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดใหม่ ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ที่คาดการณ์กันล่วงหน้าว่าจะเป็นคนนั้นคนนี้โดยเฉพาะจะมีทหารเข้ามาคุมงาน สำคัญๆก็ว่ากันไป

เอาเป็นว่ารอให้ถึงวันนั้นก็คงจะได้เห็นกันเอง อยู่ที่ว่าคลอดออกมาแล้วหน้าตาจะเป็นอย่างไรนั่นแหละสำคัญที่สุด

ที่ ว่าอย่างนี้ก็เพราะแม้ว่า คสช.จะมีอำนาจควบคุมเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่ถ้ารัฐมนตรีที่ออกมามีเสียงร้อง "ยี้" การเริ่มต้นบริหารประเทศก็จะเกิดปัญหาในความเชื่อมั่นมากพอสมควร

จะตั้งใครก็ควรคิดหรือตัดสินใจให้รอบคอบเสียก่อน

โดย เฉพาะกระทรวงสำคัญด้านเศรษฐกิจซึ่งต้องยอมรับความจริงว่าต้องการผู้ชำนาญการ เข้ามาดูแล เพราะเศรษฐกิจไทยนั้นยังมีปัญหาค่อนข้างมากแม้พื้นฐานดีก็จริงแต่เนื่องจาก หลายปีที่ผ่านมานั้นตกต่ำลงไปมาก

กอปรกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นอย่างแท้จริงย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของไทยอย่างแยกไม่ได้

อีก ตำแหน่งหนึ่งที่น่าจะต้องหาคนที่มีความรอบรู้จริง มีบารมีพอสมควรคือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศซึ่งจะต้องได้รับการ ยอมรับจากนานาชาติ

ทั้งนี้ก็คงเพราะประเทศไทยหลังจากที่ คสช.เข้ามาควบคุมอำนาจการปกครองได้เกิดปัญหาการยอมรับจากต่างประเทศเป็นต้น ว่า สหรัฐฯ และอียู แม้ว่าได้มีการทำความเข้าใจ ตลอดจนการชี้แจงถึงเหตุผลและความจำเป็น ทำให้สถานการณ์และบรรยากาศดีขึ้นมาบ้าง

แต่เมื่อมีการตั้งรัฐบาลใหม่ แล้ว รัฐมนตรีต่างประเทศถือเป็นตำแหน่งสำคัญอย่างน้อยก็รองจากนายกฯ หาก คสช.ตัดสินใจให้ "ทหาร" เข้ามาทำหน้าที่นี้ ก็คงไม่สอดรับกับสภาพความเป็นจริง

จึงน่าจะเป็น "พลเรือน" มากกว่า

ก็ลองคิดเรื่องนี้ให้ตกผลึกก็แล้วกัน

มา ว่ากันอีกเรื่องดีกว่า รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวที่ออกมานั้นยังคงอำนาจ คสช.เอาไว้เต็มๆด้วยบทเรียนทางการเมืองที่ผ่านมาเมื่อหัวหน้าคณะปฏิวัติยึด อำนาจมาได้แล้วก็มีการตั้งรัฐบาลด้วยการยกตำแหน่งผู้นำรัฐบาลให้บุคคลอื่น

เท่ากับว่า "ขาลอย" ไปทันทีไม่สามารถควบคุมได้

แนวคิด ใหม่ก็คือการคงอำนาจ คสช.เอาไว้อย่างมั่นคง เพียงแต่ว่าจะวางฐานะเอาไว้ตรงไหน รวมถึงการให้หัวหน้า คสช.เข้าไปสวมตำแหน่งนายกฯอีกชั้นหนึ่งด้วย

การดำรงอยู่ของ คสช.จึงกลายสภาพเป็นการปกครองในลักษณะที่มีรัฐบาลอยู่ภายใต้การควบคุมของ คสช.อีกชั้นหนึ่ง

คือรูปแบบ "โปลิตบูโร" ที่คล้ายกับการปกครองของประเทศจีน

เริ่ม ต้นของ คสช.นั้นมีสมาชิก 6 คน คือ พล.อ.ประยุทธ์เป็นหัวหน้าใหม่ มี พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผบ.สส. พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผบ.ทอ. พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย ผบ.ทร. พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว เป็นรอง คสช. และ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รอง ผบ.ทบ.เป็นเลขาธิการ คสช.

จากนั้นใน รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวได้วางกรอบให้ คสช.เพิ่มจำนวนได้เป็น 15 คน นัยว่าเพื่อรองรับนายทหารที่จะขึ้นมารับตำแหน่งสำคัญแทน ผบ.เหล่าทัพที่จะต้องเกษียณอายุราชการพร้อมกันหมดทุกคนจึงนำบุคคลเหล่านี้ เข้ามาอยู่ใน คสช. ด้วย

เพื่อให้เกิดความมั่นคงในอำนาจอย่างแท้จริง เชื่อว่านอกจาก ผบ.เหล่าทัพแล้วน่าจะพ่วง ผบ.ตร. คนใหม่เข้ามาด้วย และมีข่าวว่าจะมีพลเรือนที่ชำนาญการด้านกฎหมายและเศรษฐกิจด้วย

รูป แบบการบริหารประเทศจึงมี คสช. เป็น "โปลิตบูโร" ที่ควบคุมการทำงานของรัฐบาลอีกชั้นหนึ่งไม่ใช่ทำหน้าที่ดูแลแค่ด้านความ มั่นคงเท่านั้น

แบบว่ารวบหัวรวบหางกินกลางตลอดตัว...ว่างั้นเถอะ.

"สายล่อฟ้า"

ภูฏาน ความยิ่งใหญ่ในความเล็ก (เครดิตจากไลน์)

ผมอยากให้ดูวิดีโอความยาวประมาณ18นาทีเศษที่นายกรัฐมนตรี ราชอาณาจักรภูฏาน Tshering Tobgay (เชอริ่ง ต๊อบเกย์) พูดเรื่องCarbon Neutral บนเวที TED Talks พูดได้ดีมากๆแบบที่เรียกว่า Amazing Speech ผมดูวิดีโอนี้ไปสองรอบประทับใจมาก ลองคลิกดูและผมจะมีสรุปสั้นๆให้อ่านถ้าไม่ถนัดภาษาอังกฤษ

ภูฏานเป็นประเทศเล็กๆตั้งบนเทือกเขาหิมาลัยถูกกระหนาบแบบแซนวิชจากจีนและอินเดีย ประเทศไม่ได้ร่ำรวยมีขนาด GDP น้อยกว่า 2พันล้านเหรียญอเมริกัน (เพิ่มเติมข้อมูล: ประชากรประมาณ 8แสนคน พื้นที 47,500 ตารางกิโลเมตรหรือน้อยกว่าสิบเปอร์เซ็นของประเทศไทย ขนาดGDP ประเทศไทยประมาณ 5แสนล้านเหรียญอเมริกัน) 
ภูฏานให้ความสำคัญกับความสุขมวลรวมประชาชาติ(GNH -Gross National Happiness) มากกว่า GDP ที่ภูฏานเรียนฟรีรักษาพยาบาลฟรี ภูฏาน เป็นประเทศที่เต็มไปด้วยวัดวาอารามและพระที่มีความสุข(Happy Monks) พัฒนาเศรษฐกิจโดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้คุ้มค่าที่สุดและไม่ทำลายธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พื้นที่ประเทศปกคลุมไปด้วยป่าไม้กว่า72%และประกาศที่จะรักษาป่าไม้ไว้ไม่ให้น้อยกว่า60% ภูฏานไม่ใช่เป็นแค่ประเทศปลดปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์(Carbon Neutral)แต่เป็นคาร์บอนสุทธิเป็นลบ(Carbon Negative) เพราะผลิตไฟฟ้าจากแม่น้ำที่น้ำไหลเชี่ยว(Fast-Flowing Rivers)ที่ไม่ปลดปล่อยคาร์บอนทำให้จำนวนคาร์บอนสุทธิติดลบประมาณ2ล้านตัน แถมยังส่งออกไฟฟ้าไปยังประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย ภูฏานช่วยปกป้องภาวะโลกร้อนแต่กลับโดนผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ธารน้ำแข็งละลายมากขึ้นเรื่อยๆจนเกิดน้ำท่วมรุนแรง ภูฏานทำโครงการอนุรักษ์ป่า สัตว์ป่า สร้างสวนธารณะเป็นปอดของชาวภูฏาน ค่าใช้จ่ายสูงมาก กษัตริย์จึงทำโครงการBhutan of Life ขึ้นเปิดรับการบริจาคจากบุคคลและองค์กร และได้รับการสนับสนุนอย่างดีจากองค์กรอนุรักษ์สัตว์ป่า เมื่อการประชุมที่กรุงโคเปนเฮเก้นขอเสนอการอนุรักษ์ภวะโลกร้อนของภูฏานไม่ได้รับความสนใจแต่เมื่อปลายปีที่แล้วในการประชุมที่ปารีสกลับได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม วันนี้ฝันจะขยายจากBhutan for Life ให้เป็น Earth for Life ข่วยกันระดมทุนปกป้องโลกเพื่อตัวเราเองลูกหลานและอนาคต ถึงเราจะแตกต่างเชื้อชาติกันแต่เราอาศัยอยู่ในโลกใบเดียวกัน
(บางตอนพูดถึงกษัตริย์ทีพระราชทานระบบประชาธิปไตยให้โดยประชาชนไม่ได้เรียกร้อง ประชาชนถอดถอนกษัตริย์ได้และกษัตริย์เกษียณอายุ65ปี กษัตริยฺพระองค์ที่แล้วสละราชสมบัติเมื่อพระชนมายุเพียง61พรรษา)
การเตรียมการพูดดีมากแต่งแต่การแต่งกายชุดประจำชาติเอามาโปรโมทได้ดีมาก การขอให้เพิ่มอุณหภูมิจากปกติสององศาทำให้รู้สึกร้อนขึ้น ใช้ภาพประกอบได้อย่างน่าสนใจ จังหวะการพูดการเน้นการลื่นไหลของเนื้อหาแทรกอารมณ์ขันทำได้ดีครับ