ยินดีต้อนรับ

พลเมืองที่รอบรู้เท่าทัน คือ พลังประชาธิปไตยที่แท้จริง
Well-informed citizens are the true democratic forces.

Saturday, April 9, 2016

สิ้นแล้วประยุทธ์ตายคาที่ ถูกกระชากหน้ากาก จับโกหกได้

สิ้นแล้วประยุทธ์ตายคาที่ ถูกกระชากหน้ากาก จับโกหกได้ แต่ทำเป็นเฉย กรณีรับสินบน"นายเจริญ-นางวรรณา( นอมินีทุนอำมาตย์สามานตย์" ในรูปแบบการซื้อที่ดินไร้ราคาของพ่อประยุทธ์ให้ราคาสูงเกินจริงไปได้ถึง 600 ล้าน เจาะฐานข้อมูลปานามาลีก แล้วประยุทธ์เน่าแน่ก่อนจะเรียกคนไทย 21 คนที่มีรายชื่อในปานามาลีกมาสอบ เอาเรื่องฉาวโฉ่ที่เสี่ยเจริญ-นางวรรณายกเอาเงินส่วนที่ฟอกอยู่เมืองนอกมาจ้างประยุทธ์ทำการยึดอำนาจก่อนเลย


คนไทยสิ้นสงสัย!เสี่ยเจริญโยก"หุ้นใหญ่"ซื้อที่ดินห่างไกลความเจริญของพ่อประยุทธ์ มีที่อยู่ชื่อบริษัทของเสี่ยเจริญบนเกาะบริติชเวอร์จิน แหล่งฟอกเงินผิดกฎหมายของมาเฟียทั่วโลก หนึ่งในนั้นคือ นายเจริญ-นางวรรณา ผัวเมียนักธุรกิจชั่วจ้างพลเอกประยุทธ์ยึดอำนาจ 22 พ.ค.57 หลังจากยึดอำนาจบริษัทเสี่ยเจริญ-นางวรรณาได้รับประโยชน์เอื้อทางธุรกิจมากมาย ประจานนายเจริญ-นางวรรณาได้เน่าไปทั่วโลกแล้ว


http://isranews.org/isranews-scoop/item/34206-com02_34206.html บิดาพลเอกประยุทธ์แก่มากแล้ว ไม่อยากลวงโลกเหมือนลูกชาย เกิดความไม่สบายใจรับราชการมาจนเกษียณแค่พันเอก และไม่เคยมีเงินมากพอสะสมซื้อที่ดินทิ้งไว้จนขายได้ราคาสูง 600 ล้าน เวรกรรมที่ประยุทธ์ก่อกรรมทำเข็ญ อย่ายกให้พ่อที่แก่เฒ่า พ่อไม่รู้เรื่อง ไม่สนใจอะไรแล้ว ตอนนี้นอนอย่างเดียว

เรื่องราว ชีวิตทหารเกณฑ์ ถูกครูฝึกนับ10คนรุมซ้อมจนตายคาตีน

น้ำลดตอผุด ฉาวโฉ่ หยุดปกป้องทหารฆาตกร พวกมึงเองเสียที!
"ไอ้บิ๊กหมู" สั่งเอง-ย้ายด่วน! 'พ.ท.-ร.อ.'พ้นร.152พัน1 รับผิดชอบครูฝึกนับ10ตัวรุมซ้อม พลทหาร ป.โท 3วัน2คืนติต่อกัน...จนทีตายคาตีน
..

"ไอ้บิ๊กหมู"เผยย้ายทหาร "พ.ท.-ร.อ." พ้นร.152 พัน1 ชี้ต้องรับผิดชอบ ปมซ้อมทหารเกณฑ์ดับ

..

เมื่อวันที่ 7 เมษายน พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวถึงกรณี 6 นายทหารที่ร่วมกันลงโทษ พลทหารทรงธรรม หมุดหมัด สังกัด ร.152 พัน 1 ค่ายพยัคฆ์ อ.บันนังสะตา จ.ยะลา จนเสียชีวิต ว่า ตนได้สั่งให้ย้าย พ.ท.สมคิด คงแข็ง ผบ.ร.152 พัน 1 และนายทหารยศ ร.อ. ออกนอกหน่วยแล้ว เพราะถือว่าเป็นผู้ที่ต้องร่วมรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในส่วนของทหาร 6 นายที่กระทำความผิดนั้น ขอยืนยันว่าจะไม่ปกป้อง พร้อมทั้งจะเอาผิดทางวินัยและอาญาขั้นสูงสุด ทั้งนี้ ในกองทัพบกกำลังพลประมานสองแสนนาย แต่มีทหารที่ไม่อยู่ในระเบียบวินัยแค่เพียงไม่กี่นายเท่านั้น เพราะฉะนั้นตนจึงไม่ต้องการให้สังคมเหมารวมว่าทหารทั้งหมดไม่ดี.....

..

เรื่องราว ชีวิตทหารเกณฑ์ ถูกครูฝึกนับ10คนรุมซ้อมจนตายคาตีน

ญาติของทหารเกณฑ์ ที่ถูกซ้อมอย่างทารุณ 3 วัน จนเสียชีวิตเมื่อ 4 ปีก่อน เปิดเผยความลำบากในการเอาผิดผู้กระทำผิด ระบุมีทุกรูปแบบ และผู้กระทำผิดยังได้เลื่อนยศ เธอย้ำว่าหากประชาชนไม่ทวงความยุติธรรม อาจมีทหารเกณฑ์รายต่อไปต้องเสียชีวิต
..
กระทู้ในเว็บไซต์พันทิป เปิดเผยรายละเอียดเอกสารการสอบสวนข้อเท็จจริงของกองทัพภาคที่ 4 ในกรณีการทารุณทหารเกณฑ์อย่างโหดเหี้ยม ในหน่วยฝึกทหารใหม่ ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เมื่อปี 2554
..
พลทหารวิเชียร เผือกสม อายุ 26 ปี บวชเรียนจนจบปริญญาตรีเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย และจบปริญญาโท คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ ธรรมศาสตร์ สมัครเป็นทหารเกณฑ์เมื่อปี 2554
..
1 มิถุนายน 2554 หลังเข้าฝึกเพียงเดือนเดียว เขาถูกครูฝึกนับ 10 คนรุมทำร้าย โดยอ้างต้องลงโทษเพราะพยายามหลบหนีจากหน่วยฝึก 2 ครั้ง ทั้งการตบหน้า บังคับให้กินพริกสด ลากตัวไปกับพื้นปูน ใช้เกลือทาที่บาดแผล เหยียบหน้าอก ใช้ผ้าขาวห่อตัวเหลือแต่หน้า พร้อมมัดตราสังข์เหมือนศพทั้งที่ยังมีชีวิต
..
เขายังถูกบังคับให้กินข้าวบนก้อนน้ำแข็ง วางก้อนน้ำแข็งทับหน้าอก ถูกฟาดด้วยไม้ไผ่จนไม้ไผ่แตก 3 อัน ขาถูกแทงด้วยไม้ไผ่แหลม ถูกเตะที่ชายโครง หน้าอก กระทืบท้ายทอยจนคางแตก และเตะใบหน้าจนเลือดออกปาก
..
พยานในเหตุการณ์เล่าว่า พลทหารวิเชียรก้มลงกราบเท้าครูฝึก และขอร้องให้หยุดทำร้าย แต่ครูฝึกยังไม่หยุด เสียงร้องอย่างเจ็บปวด สลับกับเสียงกระทืบ ดังจนร้อยโทผู้บังคับหน่วยฝึก ชะโงกหน้าจากอาคารชั้นบนมาดู และพูดว่าอย่าทำแรงมากนัก ครูฝึกจึงพาพลทหารวิเชียรไปทำร้ายต่อบริเวณอื่น
..
หลังถูกรุมทำร้ายนาน 3 วัน พลทหารวิเชียรไตวายเพราะกล้ามเนื้อบาดเจ็บรุนแรง และเสียชีวิตที่โรงพยาบาลขณะอายุ 26 ปี สภาพศพบวมช้ำทั้งตัวจนญาติแทบจำไม่ได้ คือการฆ่าทรมานกลางสถานที่ราชการ ต่อหน้าผู้บังคับหน่วยฝึก ข้าราชการ และทหารใหม่ไม่ต่ำกว่า 200 คน
..
ผู้ตายคือน้าชายของ นริศราวัลถ์ แก้วนพรัตน์ หรือเมย์ ผู้เผยแพร่เรื่องราวในเว็บไซต์พันทิป เธอสูญเสียน้าชายขณะเรียนชั้นปี 2 และหลายครั้งต้องหยุดเรียน มาเดินเรื่องฟ้องคนฆ่าน้าชาย ซึ่งเต็มไปด้วยอุปสรรคตลอด 4 ปีที่ผ่านมา
..
ในงานศพพลทหารวิเชียร หน่วยทหารต้นสังกัดไม่ได้เปิดเผยเรื่องราวทั้งหมดแก่ญาติ แต่เสนอที่จะขอพระราชทานเพลิงศพและคลุมศพธงชาติ ซึ่งทางครอบครัวปฏิเสธ และเรียกร้องให้สืบสวนข้อเท็จจริง โดยส่งหนังสือไปยังหน่วยต่างๆ แต่ถูกเพิกเฉย
..
"เราตัดสินใจทำหนังสือร้องถึงกรมทหารราบที่ 151 ต้นสังกัดของพลทหารวิเชียร ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำหนังสือถึงกองพลทหารราบที่ 15 ซึ่งดูแล 3 จังหวัดชายแดนใต้ และเป็นต้นสังกัด ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลังจากนั้นตัดสินใจยื่นหนังสือถึงแม่ทัพภาคที่ 4 ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จึงตัดสินใจเดินทางมากรุงเทพ ร้องเรียนกองทัพบก เรียนถึง ผบ.ทบ. ในช่วงนั้น คือ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อขอความเป็นธรรม มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น" นริศราวัลถ์กล่าว
..
ในช่วงเวลานั้น ครอบครัวยังถูกข่มขู่ ทั้งการส่งกระสุนปืนมาที่บ้าน มีคนมาถามหาครอบครัวและมีรถตู้ปริศนามาจอดใกล้ที่พัก จนต้องขอกำลังตำรวจมาช่วยรักษาความปลอดภัยระหว่างการจัดงานศพ และก่อนเผาศพ พวกเขาส่งร่างพลทหารวิเชียรไปชันสูตรอย่างลับ ๆ ข้อสรุปที่ได้คือ เขาถูกทำร้ายร่างกายอย่างหนักจนเสียชีวิต
..
"คนหนึ่งโดนแล้ว เสียชีวิตไปแล้ว แล้วเขายังมายุ่งกับครอบครัวเรา เราก็ห่วงสวัสดิภาพของครอบครัวเรา ก็เลยได้พูดไปชัดเจนในงานศพต่อหน้าทหารที่มา และชาวบ้าน พระ อาจารย์ ทุกคน บอกเลยว่ากรณีนี้ หนูเป็นคนทำคนเดียว ที่บ้านหนูไม่เกี่ยวข้อง ไม่รู้เห็นในเรื่องคดีด้วย แค่เขาอยากได้ความเป็นธรรม แต่ในเรื่องขั้นตอนการเดินที่เราไม่ยอมแพ้ คือเป็นเรา ถ้าจะทำอะไรก็คือทำเรา อย่าไปยุ่งกับที่บ้านของเรา เพราะเขาไม่เกี่ยวข้อง ทุกวันนี้ก็เงียบลง ไม่มีการมายุ่งอะไร แต่มีบ้างบางครั้งที่มีผู้โทรมาคุยกับคุณแม่หนู หรือแม่ของพลทหารวิเชียร เสนอนู่นเสนอนี่" นริศราวัลถ์กล่าว
..
หลังตัดสินใจยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมกับพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี แม่ทัพภาค 4 จึงทราบเรื่อง และเกิดการสอบสวนและสั่งลงโทษทางวินัยผู้เกี่ยวข้อง 16 นาย ทั้งภาคทัณฑ์ ขัง กักบริเวณ จำขัง และปลด ส่วนครอบครัวได้รับค่าสินไหมทดแทนกว่า 7 ล้านบาท
..
ส่วนการดำเนินคดีอาญาไม่คืบหน้ามา 4 ปี จนล่าสุด คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ หรือ ป.ป.ท. เพิ่งชี้มูลทหารที่ก่อเหตุ 10 ราย ทำผิดในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ รวมถึงร้อยเอกภูริ เพิกโสภณ ผู้บังคับหน่วยฝึกซึ่งดำรงยศร้อยโทขณะนั้น ที่ปัจจุบันได้เลื่อนขั้นเป็นว่าที่พันตรี
..
"บางครั้งมันอาจจะมีซ้อมหรือใช้ไม้ตีบ้าง แต่มันควรจะอยู่ในปริมาณที่คนเรารับได้ ไม่ใช่ 3 วัน 3 คืน แบบกรณีของพลทหารวิเชียร จิตใจเล่นด้วยความสนุกหรือว่าอะไรคะ ก็เลยอยากจะให้กองทัพทบทวนบทบาทของครูฝึกด้วย เพราะชายไทยทุกคนมีสิทธิได้ไปเป็นทหารไงคะ" นริศราวัลถ์กล่าว
..
ล่าสุดอัยการจังหวัดนราธิวาส เปิดเผยว่าขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาสำนวนคดี
..
นริศราวัลถ์ ยอมรับว่ามีหลายคนไม่เห็นด้วยการเดินหน้าฟ้องในคดีอาญา เพราะส่วนใหญ่คิดว่า สู้ยังไงก็ไม่ชนะคดี แต่เธอต้องการสู้เพื่อให้สังคมเห็นว่า ลูกชาวบ้าน ก็ลุกขึ้นมาทวงความยุติธรรมได้.....



ขอเชิญพี่น้องประชาชนร่วมคว่ำ รัฐธรรมนูญ ทรราช คสช.


ขอเชิญพี่น้องประชาชนร่วมคว่ำ รัฐธรรมนูญ ทรราช คสช.


ทัศนะของนักข่าวต่างชาติ ต่อนายกรัฐมนตรีทรราช ที่ชื่อ ".ประยุทธ์ จันทร์โอชา"

ทัศนะของนักข่าวต่างชาติ ต่อนายกรัฐมนตรีทรราช ที่ชื่อ ".ประยุทธ์ จันทร์โอชา"
-
หลังจาก สนช. มีมติเลือก ทรราช ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ของประเทศไทย สื่อมวลชนจำนวนมากต่างก็ให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวและปูมประวัติของว่าที่ผู้นำคนใหม่
-
ไม่ใช่แค่สื่อไทยเท่านั้นที่ค้นคว้าเรื่องราวในแง่มุมต่างๆ ของ ทรราชประยุทธ์ กันให้จ้าละหวั่น แต่สื่อต่างชาติหลายสำนัก ต่างก็พยายามวิเคราะห์ถึงการขึ้นครองอำนาจของหัวหน้า คสช. รวมทั้งสิ่งที่ว่าที่นายกฯ อาจต้องเผชิญในอนาคต
-
นี่เป็นบางส่วนจากบทวิเคราะห์ของสื่อต่างชาติเหล่านั้น
-
โธมัส ฟุลเลอร์ ผู้สื่อข่าวนิวยอร์คไทม์ส แสดงทัศนะในบทวิเคราะห์ของเขาว่า การเข้าควบคุมอำนาจของกองทัพไทยในปีนี้ ดูเหมือนจะสวนกระแสประชาธิปไตยในภูมิภาคอาเซียน เช่น ในอินโดนีเซีย ซึ่งนักการเมืองท้องถิ่นที่ได้รับความนิยมจากประชาชน เพิ่งชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี เหนืออดีตนายพลของกองทัพ ส่วนที่เมียนมาร์ ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่มีหลายพรรคการเมืองก็เริ่มลงหลักปักฐาน หลังจากที่ต้องปกครองด้วยระบอบเผด็จการทหารมาร่วมห้าทศวรรษ
-
ฟุลเลอร์ตั้งข้อสังเกตว่า ทรราช คสช. กล่าวว่าจะทำการฟื้นฟูระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทย ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้กำหนดตารางเวลาที่แน่นอนสำหรับการเลือกตั้งครั้งต่อไป นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ยังระบุด้วยว่า ระบอบประชาธิปไตยที่จะถูกฟื้นฟูขึ้นนั้น จะต้อง "มีความเหมาะสมกับบริบทของสังคมไทย" ซึ่งเป็นคุณสมบัติอันคลุมเครือ ที่ยังมิได้ถูกนิยามให้มีความหมายกระจ่างชัด
-
ผู้สื่อข่าวต่างประเทศรายนี้ อ้างอิงคำสัมภาษณ์ของ นายธงชัย วินิจจะกูล ศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แห่งมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-แมดิสัน ซึ่งชี้ว่า คสช. มีท่าทีรังเกียจนักการเมือง และปรารถนาถึงระบบเผด็จอำนาจที่มีคุณธรรม เช่นเดียวกับคนไทยบางพวก อย่างไรก็ดี นายธงชัยเตือนว่า การปกครองแบบพ่อขุนอุปถัมภ์นั้นจะไม่เหมาะสมกับสังคมไทยอีกต่อไป เพราะสภาพสังคมมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ผู้นำทหารที่มีความเข้มแข็งในยุคก่อน สามารถปกครองประเทศไทยที่เป็นสังคมเกษตรกรรมยากจนได้ ทว่า ประเทศไทยในปัจจุบันนั้น มีประชากรผู้มีความตื่นตัวทางการเมืองมากยิ่งขึ้น
-
ฟุลเลอร์ยังสัมภาษณ์ นายสุรชาติ บำรุงสุข อาจารย์จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้เชี่ยวชาญในประเด็นวิชาการเรื่องกองทัพไทย ซึ่งอธิบายระบอบอำนาจปัจจุบันว่าเป็น "ระบบเผด็จการแบบอ่อน" และเห็นว่า นายทหารระดับสูงกำลังพยายามแสวงหาตำแหน่งแห่งที่อันมั่นคงในอนาคตให้แก่ตนเอง
-
"สิ่งที่นายทหารระดับสูงต้องการคือ ระบอบประชาธิปไตยแบบชี้นำ ซึ่งกองทัพมีบทบาทในการบังคับควบคุม" นายสุรชาติ คาดการณ์
-
อาจารย์จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ วิเคราะห์ว่า การยอมรับที่สาธารณชนชาวไทยจะมีให้แก่รัฐบาลทหารนั้น ขึ้นอยู่กับว่านายทหารระดับสูงที่เข้ามาควบคุมอำนาจจะ "มือสะอาด" มากแค่ไหน และคำถามที่หลายคนอาจมีก็คือ นายทหารเหล่านี้จะหวนกลับไปมีพฤติกรรมคอร์รัปชั่นเหมือนผู้นำทหารในยุคก่อนๆ หรือไม่
-
ขณะเดียวกัน โจนาธาน เฮด ผู้สื่อข่าวบีบีซี ก็ประเมินว่า การประสบความสำเร็จของ พล.อ.ประยุทธ์ จะขึ้นอยู่กับว่า ว่าที่นายกฯ ของไทย จะสามารถบริหารจัดการอำนาจที่ถือครองอยู่ได้ดีเพียงใด นักวิจารณ์บางคนเห็นว่า หัวหน้าททราช คสช. มีอารมณ์ค่อนข้างร้อนและมีความอดทนต่ำ รวมทั้งมีภาพลักษณ์เชิงอนุรักษนิยม 
-
อย่างไรก็ดี ผู้สนับสนุนทรราช.ประยุทธ์  อย่าง สนช. กรธ. กะดอมาทอ และเหล่าสมุนรับใช้เผด็จการ กลับระบุว่า ทรราช ประยุทธ์ .ผู้นี้ เป็นคนเด็ดเดี่ยว กล้าได้กล้าเสีย แม้จะมีความโง่เป็นทุนเดิมติดตัวอยู่บ้าง แต่นั้นก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะ ฮิลเลอร์  กัดดาฬี หรือแม้แต่ ซัดดัม แห่งอีรัก ก็มี ลักษณะกล้าพูดกล้าทำและนำประเทศ ให้ยิ่งใหญ่มาแล้วในอดีต  แม้บางคราวจะมี ท่าทีไม่รับฟังผู้อื่นก็ตาม

นักข่าวนักต่างประเทศ ก็เคย ทำนายสถานการณ์ไว้ด้วยว่า แม้แรงต่อต้านทรราช คสช. ภายหลังรัฐประหาร 22 พฤษภาคม จะมีไม่มากนัก แต่สถานการณ์อาจเปลี่ยนแปลงไป หากรัฐบาลทหารทรราช คสช. ชุดนี้ต้องเผชิญหน้ากับปัญหายากๆ ที่ถั่งโถมเข้ามามากยิ่งขึ้น  เหมือนปัจจุบัน  และดูเสมือนว่า ประเทศไทย เดินเข้าสู่ทางตันแล้ว ณ. เวลานี้  ทั้งร่างรัฐธรรมนูญ และปัญหาปากม้องของประชาชน

-

ขอขอบคุณนักข่าวต่างประเทศและมติชน

-
เสรีชน


ทัศนะของนักข่าวต่างชาติ ต่อนายกรัฐมนตรีทรราช ที่ชื่อ ".ประยุทธ์ จันทร์โอชา"

ทัศนะของนักข่าวต่างชาติ ต่อนายกรัฐมนตรีทรราช ที่ชื่อ ".ประยุทธ์ จันทร์โอชา"
-
หลังจาก สนช. มีมติเลือก ทรราช ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ของประเทศไทย สื่อมวลชนจำนวนมากต่างก็ให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวและปูมประวัติของว่าที่ผู้นำคนใหม่
-
ไม่ใช่แค่สื่อไทยเท่านั้นที่ค้นคว้าเรื่องราวในแง่มุมต่างๆ ของ ทรราชประยุทธ์ กันให้จ้าละหวั่น แต่สื่อต่างชาติหลายสำนัก ต่างก็พยายามวิเคราะห์ถึงการขึ้นครองอำนาจของหัวหน้า คสช. รวมทั้งสิ่งที่ว่าที่นายกฯ อาจต้องเผชิญในอนาคต
-
นี่เป็นบางส่วนจากบทวิเคราะห์ของสื่อต่างชาติเหล่านั้น
-
โธมัส ฟุลเลอร์ ผู้สื่อข่าวนิวยอร์คไทม์ส แสดงทัศนะในบทวิเคราะห์ของเขาว่า การเข้าควบคุมอำนาจของกองทัพไทยในปีนี้ ดูเหมือนจะสวนกระแสประชาธิปไตยในภูมิภาคอาเซียน เช่น ในอินโดนีเซีย ซึ่งนักการเมืองท้องถิ่นที่ได้รับความนิยมจากประชาชน เพิ่งชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี เหนืออดีตนายพลของกองทัพ ส่วนที่เมียนมาร์ ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่มีหลายพรรคการเมืองก็เริ่มลงหลักปักฐาน หลังจากที่ต้องปกครองด้วยระบอบเผด็จการทหารมาร่วมห้าทศวรรษ
-
ฟุลเลอร์ตั้งข้อสังเกตว่า ทรราช คสช. กล่าวว่าจะทำการฟื้นฟูระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทย ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้กำหนดตารางเวลาที่แน่นอนสำหรับการเลือกตั้งครั้งต่อไป นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ยังระบุด้วยว่า ระบอบประชาธิปไตยที่จะถูกฟื้นฟูขึ้นนั้น จะต้อง "มีความเหมาะสมกับบริบทของสังคมไทย" ซึ่งเป็นคุณสมบัติอันคลุมเครือ ที่ยังมิได้ถูกนิยามให้มีความหมายกระจ่างชัด
-
ผู้สื่อข่าวต่างประเทศรายนี้ อ้างอิงคำสัมภาษณ์ของ นายธงชัย วินิจจะกูล ศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แห่งมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-แมดิสัน ซึ่งชี้ว่า คสช. มีท่าทีรังเกียจนักการเมือง และปรารถนาถึงระบบเผด็จอำนาจที่มีคุณธรรม เช่นเดียวกับคนไทยบางพวก อย่างไรก็ดี นายธงชัยเตือนว่า การปกครองแบบพ่อขุนอุปถัมภ์นั้นจะไม่เหมาะสมกับสังคมไทยอีกต่อไป เพราะสภาพสังคมมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ผู้นำทหารที่มีความเข้มแข็งในยุคก่อน สามารถปกครองประเทศไทยที่เป็นสังคมเกษตรกรรมยากจนได้ ทว่า ประเทศไทยในปัจจุบันนั้น มีประชากรผู้มีความตื่นตัวทางการเมืองมากยิ่งขึ้น
-
ฟุลเลอร์ยังสัมภาษณ์ นายสุรชาติ บำรุงสุข อาจารย์จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้เชี่ยวชาญในประเด็นวิชาการเรื่องกองทัพไทย ซึ่งอธิบายระบอบอำนาจปัจจุบันว่าเป็น "ระบบเผด็จการแบบอ่อน" และเห็นว่า นายทหารระดับสูงกำลังพยายามแสวงหาตำแหน่งแห่งที่อันมั่นคงในอนาคตให้แก่ตนเอง
-
"สิ่งที่นายทหารระดับสูงต้องการคือ ระบอบประชาธิปไตยแบบชี้นำ ซึ่งกองทัพมีบทบาทในการบังคับควบคุม" นายสุรชาติ คาดการณ์
-
อาจารย์จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ วิเคราะห์ว่า การยอมรับที่สาธารณชนชาวไทยจะมีให้แก่รัฐบาลทหารนั้น ขึ้นอยู่กับว่านายทหารระดับสูงที่เข้ามาควบคุมอำนาจจะ "มือสะอาด" มากแค่ไหน และคำถามที่หลายคนอาจมีก็คือ นายทหารเหล่านี้จะหวนกลับไปมีพฤติกรรมคอร์รัปชั่นเหมือนผู้นำทหารในยุคก่อนๆ หรือไม่
-
ขณะเดียวกัน โจนาธาน เฮด ผู้สื่อข่าวบีบีซี ก็ประเมินว่า การประสบความสำเร็จของ พล.อ.ประยุทธ์ จะขึ้นอยู่กับว่า ว่าที่นายกฯ ของไทย จะสามารถบริหารจัดการอำนาจที่ถือครองอยู่ได้ดีเพียงใด นักวิจารณ์บางคนเห็นว่า หัวหน้าททราช คสช. มีอารมณ์ค่อนข้างร้อนและมีความอดทนต่ำ รวมทั้งมีภาพลักษณ์เชิงอนุรักษนิยม 
-
อย่างไรก็ดี ผู้สนับสนุนทรราช.ประยุทธ์  อย่าง สนช. กรธ. กะดอมาทอ และเหล่าสมุนรับใช้เผด็จการ กลับระบุว่า ทรราช ประยุทธ์ .ผู้นี้ เป็นคนเด็ดเดี่ยว กล้าได้กล้าเสีย แม้จะมีความโง่เป็นทุนเดิมติดตัวอยู่บ้าง แต่นั้นก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะ ฮิลเลอร์  กัดดาฬี หรือแม้แต่ ซัดดัม แห่งอีรัก ก็มี ลักษณะกล้าพูดกล้าทำและนำประเทศ ให้ยิ่งใหญ่มาแล้วในอดีต  แม้บางคราวจะมี ท่าทีไม่รับฟังผู้อื่นก็ตาม

นักข่าวนักต่างประเทศ ก็เคย ทำนายสถานการณ์ไว้ด้วยว่า แม้แรงต่อต้านทรราช คสช. ภายหลังรัฐประหาร 22 พฤษภาคม จะมีไม่มากนัก แต่สถานการณ์อาจเปลี่ยนแปลงไป หากรัฐบาลทหารทรราช คสช. ชุดนี้ต้องเผชิญหน้ากับปัญหายากๆ ที่ถั่งโถมเข้ามามากยิ่งขึ้น  เหมือนปัจจุบัน  และดูเสมือนว่า ประเทศไทย เดินเข้าสู่ทางตันแล้ว ณ. เวลานี้  ทั้งร่างรัฐธรรมนูญ และปัญหาปากม้องของประชาชน

-

ขอขอบคุณนักข่าวต่างประเทศและมติชน

-
เสรีชน


ใครคือผู้สร้างสถานการณ์ 3 จังหวัดชายแดนใต้

ใครคือผู้สร้างสถานการณ์ 3 จังหวัดชายแดนใต้
-

ผมได้เห็นบทความของหลายสำนักข่าว  ตีข่าวใหญ่เรื่อง ระเบิดขนาดใหญ่ 160 กิโล ที่ยะลา แล้วก็หวนคิดถึง ระเบิดที่หน้าศาลอาญารัชฏา ที่จับแพะเป็นจำนวนมากได้ ลามไปถึงน้องแหวน พยานปากเอกคดี ทหารฆ่าประชาชนในวัดประทุม 6 ศพ แล้ว ก็เกิดข้อสงใส เหมือนกัน เหตุที่ต้องสงใส
-
เพราะ..............
-
1. ตกลงทหารที่สมัย อุดมแดก อดีต ผบ.ทบ.. กล่าวไว้ว่าจะถอนทหารรออกจากพื้นที่ 3 จังหวัดชานแดนใต้ไม่ถอนแล้วใช่ไหม  เพราะต้องการกวาดล้างโจรใต้ให้สิ้น ภายใน 6 เดือน
-
2. ตกลงชีวิตของพี่น้องชาว ยะลา นรา ปัตตานี กว่า 8 พันกว่าศพ ที่ต้องสังเวย ทหารทรราช คสช. ยังคงดำรงอยู่ต่อไป งั้นหรือ
-
3. และตกลงว่างบประมาณ ของแผ่นดินที่ทหารทรราช ถลุงไปกว่า หลายแสนล้านบาท  เป็นการ ตำน้ำพริก ละลายแม่นำ้โก-ลกงั้นซิ

4. แผนการสร้างสถานการณ์ นำต้นแบบ และวิธีการมาจาก ระเบิดหน้าศาลอาญารัชฏาใช่หรือไม หากไม่ใช่  ทำไมวิธีการ ชั่งเหมือนกันเหลือเกิน

5. งบประมาณและอายุราชการของทหารที่ได้ จากการลงไปพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ มีความหอมหวานถึงขนาดต้องฆ่าต้องแกง ประชาชน เพื่อให้สมจริงได้ถึงขนาดนี้หรือ  ความเป็นคนไม่หลงเหลืออยู่เลยหรือในกมรสันดานของ ทรราช คสช.

-----------------------------------------------------------

สิ่งที่เห็น อาจไม่ใช่สิ่งที่เป็น!

-
เหตุรุนแรง 2 เหตุการณ์สำคัญ คือ คนร้ายกว่า 50 คนบุกยึดโรงพยาบาลเจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 13 มี.ค. และกรณีคนร้าย 7-8 คน ปล้นรถสองสามีภรรยาจาก อ.บันนังสตา จ.ยะลา ก่อนนำไปบรรทุกระเบิด แล้วบังคับให้ขับไปจอดเพื่อก่อวินาศกรรมกลางเมืองยะลา เมื่อวันที่ 5 เม.ย.นั้น กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางทั้งในและนอกพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ 
-
 เป็นการถูกพูดถึงในแง่ของการตั้งคำถามเกี่ยวกับรายละเอียดของเหตุการณ์ที่เต็มไปด้วยข้อสงสัย แม้ว่าทั้งสองเหตุการณ์จะไม่ได้นำมาซึ่งความสูญเสียขนาดใหญ่ก็ตาม
-
          รายงานพิเศษชิ้นนี้ไม่ได้มีเจตนาชี้นำความคิดหรือความเชื่อใดๆ ทั้งสิ้น เป็นแต่เพียงการรวบรวมข้อสังเกตของฝ่ายต่างๆ ประกอบข้อมูลและบทวิเคราะห์ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงบางหน่วยมานำเสนอเท่านั้น
-
          ทั้งนี้เพื่อสะท้อนว่าพื้นที่ชายแดนใต้ยังคงเป็นดินแดนสนธยา และเต็มไปด้วยความซับซ้อนจริงๆ
-

ยึด รพ.ใช้กระสุนเปลือง!
-
          เริ่มจากเหตุคนร้ายบุกยึดโรงพยาบาลเจาะไอร้อง เพื่อใช้เป็นที่มั่นและจุดสูงข่มในการระดมยิงฐานทหารพราน กองร้อยทหารพรานที่ 4816 ซึ่งตั้งอยู่ติดกับรั้วโรงพยาบาล แม้จนถึงขณะนี้จะมีข้อมูลยืนยันจนสิ้นสงสัยแล้วว่าไม่ได้เป็นการกระทำในลักษณะ "จัดฉาก" ของเจ้าหน้าที่รัฐบาลทรราช ด้วยกันเอง
-
          ทว่าก็ยังมีข้อสงสัยว่าอาจเป็นการ "สร้างสถานการณ์" โดยใครหรือกลุ่มใด เพื่อวัตถุประสงค์อื่นนอกเหนือจากการแสดงศักยภาพของขบวนการที่อ้างอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดนหรือไม่
-
          ประเด็นที่ตั้งข้อสังเกตกันมากก็คือ ปลอกกระสุนของคนร้ายที่ตรวจพบในที่เกิดเหตุซึ่งมีมากถึง 1,825 ปลอก จากปืนสงคราม 52 กระบอก เหตุใดถึงได้ยิงกันอย่างฟุ่มเฟือยถึงเพียงนี้ ราวกับกระสุนเป็นของหาง่าย
-
          ประเด็นนี้ผู้เชี่ยวชาญหลายรายมองตรงกันว่า ที่ผ่านมาหากเป็นปฏิบัติการของนักรบบีอาร์เอ็น การยิงจะมุ่งผลสัมฤทธิ์มากกว่านี้ และใช้กระสุนประหยัดกว่านี้ เนื่องจากกระสุนหายาก และอาวุธของบรรดานักรบเกือบทั้งหมดได้ไปจากการปล้นชิงเจ้าหน้าที่
-
          ขณะเดียวกัน ในขณะที่ยิงกันอย่างสะบั้นหั่นแหลกถึงเกือบ 2 พันนัด แต่กลับไม่ได้ก่อความสูญเสียต่อชีวิตของทหารพรานภายในฐานเลย มีเพียงผู้ได้รับบาดเจ็บ 7 นาย เป็นทหารพราน 6 นาย และ อส.1 นาย
-
          ข้อสังเกตนี้ไม่ได้มีขึ้นเพราะต้องการให้เกิดความสูญเสีย แต่ด้วยความที่คนร้ายอยู่ในจุดสูงข่มที่สามารถเลือกยิงได้ถนัดถนี่ ขณะที่ฝ่ายทหารก็ไม่กล้ายิงตอบโต้ เพราะคนร้ายใช้โรงพยาบาลซึ่งมีผู้ป่วยและหมอ พยาบาลเป็นสถานที่กำบัง แต่ด้วยวิถีการยิงที่ได้เปรียบ กับการใช้กระสุนจำนวนมาก กลับไม่อาจก่อผลที่สมกับรูปแบบความรุนแรงที่ได้กระทำ
-
          ยิ่งไปกว่านั้น อาวุธปืนสงคราม 52 กระบอกที่คนร้ายใช้ มีเพียง 18 กระบอกที่มีประวัติในสารบบของฝ่ายความมั่นคงว่าเคยใช้ก่อเหตุรุนแรงมาก่อน แสดงว่าอาวุธปืนอีกถึง 34 กระบอก หรือเกือบ 2 เท่า เป็นอาวุธที่ไม่เคยถูกนำมาใช้ หรือเคยใช้แต่ไม่เคยถูกเก็บประวัติ (ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้)
-

          คำถามคืออาวุธเหล่านี้มาจากไหน?

-
          ขณะที่การติดตามจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุอุกอาจถึงขั้นควงอาวุธบุกยึดโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบก็อยู่ในอาการมืดแปดด้าน หมายจับที่ออกมาแล้ว 2-8 หมาย เป็นการออกตามประวัติการใช้ปืน 18 กระบอกในพื้นที่ 5 อำเภอของ จ.นราธิวาสเป็นหลัก ซึ่งต้องเรียกว่าเป็น "ฐานข้อมูลเก่า"
-
          ที่สำคัญ ผู้ก่อเหตุหลายคนไม่ได้ใช้ผ้าหรือหมวกคลุมศีรษะปกปิดใบหน้า ซ้ำยังเดินผ่านกล้องวงจรปิดแบบไม่กลัวใครจำได้อีกด้วย
-

7ข้อสงสัยปล้นรถ-ซุกบอมบ์
-
          เหตุการณ์ที่ 2 กรณีคนร้ายปล้นรถของลุงกับป้า สองสามีภรรยาจากพื้นที่บันนังสตา แล้วนำระเบิดถังแก๊ส 2 ถัง น้ำหนักระเบิด 160 กิโลกรัมยัดใส่รถ จากนั้นบังคับให้คุณลุงขับรถเข้าไปจอดกลางเมืองยะลาเพื่อกดระเบิด
-
          ยุทธวิธีของกลุ่มคนร้าย นอกจากจะจับคุณป้าแยกขึ้นรถไปอีกคันเพื่อเป็นตัวประกันแล้ว ยังให้คุณลุงสวมเสื้อที่ผูกระเบิดติดไว้ เป็นการกดดันและบังคับอีกชั้นหนึ่งให้คุณลุงทำภารกิจให้สำเร็จอีกด้วย
-
          เหตุการณ์นี้หากมีการระเบิดเกิดขึ้นจริง จะก่อความสูญเสียอย่างมหาศาล เพราะจุดที่คนร้ายบังคับให้คุณลุงขับรถไปจอด อยู่ใกล้ปั๊มน้ำมัน และบริษัทโตโยต้า พิธานพาณิชย์ยะลา ภาพที่คาดว่าจะออกมาหากเกิดระเบิด คือคนขับสวมเสื้อระเบิด คล้ายเป็น "ระเบิดพลีชีพ" เท่ากับเป็นการยกระดับความรุนแรงของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เทียบเท่าก่อการร้ายสากล
-
          เคราะห์ดีที่เหตุการณ์ไม่ได้บานปลายถึงเพียงนั้น แต่ก็ยังมีประเด็นข้อสงสัยจากฝ่ายต่างๆ จากหลายวงสนทนา พอสรุปได้ดังนี้
-
          1.วิธีการของคนร้ายที่ก่อเหตุ โดยการปล้นรถแล้วจับตัวประกันบังคับให้ขับรถของตัวเองบรรทุกระเบิดเข้าไปจอดในตัวเมือง เป็นวิธีการใหม่ที่ไม่เคยใช้มาก่อน ที่ผ่านมามีแต่คนร้ายฆ่าเจ้าทรัพย์ แล้วชิงรถไปติดตั้งระเบิด ก่อนนำไปจุดระเบิดตรงบริเวณที่เป็นเป้าหมายทันที เห็นได้จากเหตุ "คาร์บอมบ์" ล่าสุดใน อ.เมืองปัตตานี หน้าฐานของตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษ เมื่อ 27 ก.พ.ที่ผ่านมา ก็เป็นการฆ่าเจ้าทรัพย์ ชิงรถ ติดตั้งระเบิด แล้วโจมตี
-
          คำถามคือเหตุใดคนร้ายจึงเลือกใช้วิธีการที่ซับซ้อนและมีโอกาสผิดพลาดได้ง่าย หากหวังผลให้เกิดการระเบิดเพื่อสร้างความสูญเสียในเขตเมืองและย่านเศรษฐกิจ
-
          2.ความโหดเหี้ยมในการก่อเหตุของคนร้ายดูจะลดน้อยลงกว่าที่ผ่านๆ มา โดยเฉพาะหากเป็นกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ อ.บันนังสตา และ อ.กรงปินัง ซึ่งมีประวัติการก่อเหตุอย่างเหี้ยมโหด เพราะคุณป้าที่ตกเป็นตัวประกันก็ปลอดภัย แม้คุณลุงจะทำการไม่สำเร็จ คือไม่เกิดการระเบิดขึ้นก็ตาม
-
          3.คนร้ายบางส่วนหรือทั้งหมด ไม่ได้ปกปิดหน้าตา การปล่อยตัวประกันทำให้นำไปสู่การออกภาพสเก็ตช์และติดตามตัวคนร้ายได้ง่าย ซึ่งล่าสุดก็มีข่าวตำรวจเริ่มจับกุมผู้ต้องสงสัยแล้ว
-
          4.การวางระเบิดของคนร้าย จากข้อมูลของเจ้าหน้าที่ระบุว่า ระเบิดถังแก๊สทั้ง 2 ถังประกอบวงจรระเบิดไว้สมบูรณ์แล้ว และมีวงจรจุดระเบิดซ้อนมากกว่า 1 วงจร แต่หลังจากที่คนร้ายบังคับให้คุณลุงขับรถผ่านด่านตรวจเข้ามาในพื้นที่เขตเมืองได้แล้ว มีบางช่วงที่คุณลุงขับรถหลุดพ้นจากการควบคุมของคนร้าย เหตุใดคนร้ายจึงไม่จุดระเบิดทันที 
-
          5.กรณีเสื้อผูกระเบิดที่คนร้ายบังคับให้คุณลุงสวมใส่เพื่อข่มขู่ให้ขับรถบรรทุกระเบิดไปจอดยังเป้าหมาย โดยข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ระบุว่าคนร้ายต่อวงจรเอาไว้แล้ว เหตุใดคุณลุงจึงสามารถใช้กรรไกรตัดเสื้อระหว่างขับรถแล้วโยนทิ้งไปได้โดยไม่ระเบิด แต่กลับมีข่าวว่าเสื้อดังกล่าวระเบิดขึ้นระหว่างที่เจ้าหน้าที่เข้าทำการเก็บกู้ 
-
          6.เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นเหตุการณ์ใหญ่ และรูปแบบการก่อเหตุไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เหตุใดจึงมีแต่เพียงฝ่ายตำรวจและฝ่ายปกครองเท่านั้นที่มีข้อมูลและให้ข่าวกับสื่อ แต่ไม่ปรากฏข้อมูลในรายงานเหตุการณ์ของหน่วยงานทางทหาร
-
          7.ระเบิดแสวงเครื่องที่คนร้ายประกอบใส่ถังแก๊ส 2 ถังบรรทุกมาในรถ ยังมีข้อมูลสับสนว่าขับผ่านด่านตรวจของเจ้าหน้าที่เข้ามาหรือไม่ เพราะข้อมูลบางแหล่งระบุว่าขับผ่านด่านตรวจตามปกติ แต่บางแหล่งระบุว่าขับลัดเลาะหลบด่านทุกด้านจนเข้าเมืองได้
-
          นอกจากนั้นข้อมูลที่รายงานผ่านสื่อบางแขนงอ้างว่าคุณลุงถูกคนร้ายใช้ถุงดำคลุมศีรษะเกือบตลอดทาง แต่บางสื่อกลับอ้างว่าคุณลุงรู้เส้นทางขับรถของคนร้ายว่าหลบด่านเข้าเมืองได้อย่างไร ถึงขนาดพาเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองย้อนดูเส้นทางลัดเลาะหลบด่าน ในลักษณะย้อนรอยคนร้ายด้วย
-

สมมติฐานใครคือผู้สร้างสถานการณ์

-
          ทั้งสองเหตุการณ์ ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีฝ่ายรัฐบาล ทรราช คสช.  หรือต้องการสร้างภาพใน สถาณ๋การเลวร้าย ในแง่ลบ ตั้งประเด็นว่าเป็นการ "จัดฉาก" เพื่อหวังงบประมาณหรือด้วยเหตุผลของการต้องการ ฆ่าพี่้องมุสลิม
-
          ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญหลายหน่วยยืนยันตรงกันว่า เป็นไปได้น้อยมากที่เหตุการณ์ระดับนี้ ใช้คนมากขนาดนี้ จะกระทำโดย "โจรใต้"  เพราะปัจจุบันมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงหลายหน่วย หลายสี ปฏิบัติงานในพื้นที่จำนวนมาก มีการตรวจสอบซึ่งกันและกันค่อนข้างสูง และสิ่งที่โจรใต้ ไม่เคยพลาด จากการวางระเบิดมานัดครั้งไม่ถ้วนนั้น หากนำมาประกอยวิธีการวาง จะแตกต่างจาก เหตุการณ์ ระเบิด 160โล ครั้งนี้อย่างเห็นได้ชัด แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นฝีมือของรัฐบาล ทรราช คสช.
-
          ฉะนั้นการสร้างสถานการณ์โดยหน่วยใดหรือกลุ่มคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งจึงเป็นเรื่องไม่ยาก ที่จะคาดเดา
-
เหตุการณ์ ทั้ง 2 ครั้งนี้ จุดประสงค์เพื่ออะไร ถ้าไม่ใช่ งบประมาณและการคงอยู่ของกองกำลังทหารกว่า 5 หมื่นนาย ที่จะได้เบี้ยและอายุราชการทวีคูณอีกทั้งสวัสดิการต่างๆ อีกมากมาย บนคลาดน้ำตาและกองเลือดของพี่น้องประชาชน สืบต่อไป
-
          สิ่งที่เห็น อาจไม่ใช่สิ่งที่เป็น!

ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก อิศรา

-
เสรีชน


ใครคือผู้สร้างสถานการณ์ 3 จังหวัดชายแดนใต้

ใครคือผู้สร้างสถานการณ์ 3 จังหวัดชายแดนใต้
-

ผมได้เห็นบทความของหลายสำนักข่าว  ตีข่าวใหญ่เรื่อง ระเบิดขนาดใหญ่ 160 กิโล ที่ยะลา แล้วก็หวนคิดถึง ระเบิดที่หน้าศาลอาญารัชฏา ที่จับแพะเป็นจำนวนมากได้ ลามไปถึงน้องแหวน พยานปากเอกคดี ทหารฆ่าประชาชนในวัดประทุม 6 ศพ แล้ว ก็เกิดข้อสงใส เหมือนกัน เหตุที่ต้องสงใส
-
เพราะ..............
-
1. ตกลงทหารที่สมัย อุดมแดก อดีต ผบ.ทบ.. กล่าวไว้ว่าจะถอนทหารรออกจากพื้นที่ 3 จังหวัดชานแดนใต้ไม่ถอนแล้วใช่ไหม  เพราะต้องการกวาดล้างโจรใต้ให้สิ้น ภายใน 6 เดือน
-
2. ตกลงชีวิตของพี่น้องชาว ยะลา นรา ปัตตานี กว่า 8 พันกว่าศพ ที่ต้องสังเวย ทหารทรราช คสช. ยังคงดำรงอยู่ต่อไป งั้นหรือ
-
3. และตกลงว่างบประมาณ ของแผ่นดินที่ทหารทรราช ถลุงไปกว่า หลายแสนล้านบาท  เป็นการ ตำน้ำพริก ละลายแม่นำ้โก-ลกงั้นซิ

4. แผนการสร้างสถานการณ์ นำต้นแบบ และวิธีการมาจาก ระเบิดหน้าศาลอาญารัชฏาใช่หรือไม หากไม่ใช่  ทำไมวิธีการ ชั่งเหมือนกันเหลือเกิน

5. งบประมาณและอายุราชการของทหารที่ได้ จากการลงไปพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ มีความหอมหวานถึงขนาดต้องฆ่าต้องแกง ประชาชน เพื่อให้สมจริงได้ถึงขนาดนี้หรือ  ความเป็นคนไม่หลงเหลืออยู่เลยหรือในกมรสันดานของ ทรราช คสช.

-----------------------------------------------------------

สิ่งที่เห็น อาจไม่ใช่สิ่งที่เป็น!

-
เหตุรุนแรง 2 เหตุการณ์สำคัญ คือ คนร้ายกว่า 50 คนบุกยึดโรงพยาบาลเจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 13 มี.ค. และกรณีคนร้าย 7-8 คน ปล้นรถสองสามีภรรยาจาก อ.บันนังสตา จ.ยะลา ก่อนนำไปบรรทุกระเบิด แล้วบังคับให้ขับไปจอดเพื่อก่อวินาศกรรมกลางเมืองยะลา เมื่อวันที่ 5 เม.ย.นั้น กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางทั้งในและนอกพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ 
-
 เป็นการถูกพูดถึงในแง่ของการตั้งคำถามเกี่ยวกับรายละเอียดของเหตุการณ์ที่เต็มไปด้วยข้อสงสัย แม้ว่าทั้งสองเหตุการณ์จะไม่ได้นำมาซึ่งความสูญเสียขนาดใหญ่ก็ตาม
-
          รายงานพิเศษชิ้นนี้ไม่ได้มีเจตนาชี้นำความคิดหรือความเชื่อใดๆ ทั้งสิ้น เป็นแต่เพียงการรวบรวมข้อสังเกตของฝ่ายต่างๆ ประกอบข้อมูลและบทวิเคราะห์ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงบางหน่วยมานำเสนอเท่านั้น
-
          ทั้งนี้เพื่อสะท้อนว่าพื้นที่ชายแดนใต้ยังคงเป็นดินแดนสนธยา และเต็มไปด้วยความซับซ้อนจริงๆ
-

ยึด รพ.ใช้กระสุนเปลือง!
-
          เริ่มจากเหตุคนร้ายบุกยึดโรงพยาบาลเจาะไอร้อง เพื่อใช้เป็นที่มั่นและจุดสูงข่มในการระดมยิงฐานทหารพราน กองร้อยทหารพรานที่ 4816 ซึ่งตั้งอยู่ติดกับรั้วโรงพยาบาล แม้จนถึงขณะนี้จะมีข้อมูลยืนยันจนสิ้นสงสัยแล้วว่าไม่ได้เป็นการกระทำในลักษณะ "จัดฉาก" ของเจ้าหน้าที่รัฐบาลทรราช ด้วยกันเอง
-
          ทว่าก็ยังมีข้อสงสัยว่าอาจเป็นการ "สร้างสถานการณ์" โดยใครหรือกลุ่มใด เพื่อวัตถุประสงค์อื่นนอกเหนือจากการแสดงศักยภาพของขบวนการที่อ้างอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดนหรือไม่
-
          ประเด็นที่ตั้งข้อสังเกตกันมากก็คือ ปลอกกระสุนของคนร้ายที่ตรวจพบในที่เกิดเหตุซึ่งมีมากถึง 1,825 ปลอก จากปืนสงคราม 52 กระบอก เหตุใดถึงได้ยิงกันอย่างฟุ่มเฟือยถึงเพียงนี้ ราวกับกระสุนเป็นของหาง่าย
-
          ประเด็นนี้ผู้เชี่ยวชาญหลายรายมองตรงกันว่า ที่ผ่านมาหากเป็นปฏิบัติการของนักรบบีอาร์เอ็น การยิงจะมุ่งผลสัมฤทธิ์มากกว่านี้ และใช้กระสุนประหยัดกว่านี้ เนื่องจากกระสุนหายาก และอาวุธของบรรดานักรบเกือบทั้งหมดได้ไปจากการปล้นชิงเจ้าหน้าที่
-
          ขณะเดียวกัน ในขณะที่ยิงกันอย่างสะบั้นหั่นแหลกถึงเกือบ 2 พันนัด แต่กลับไม่ได้ก่อความสูญเสียต่อชีวิตของทหารพรานภายในฐานเลย มีเพียงผู้ได้รับบาดเจ็บ 7 นาย เป็นทหารพราน 6 นาย และ อส.1 นาย
-
          ข้อสังเกตนี้ไม่ได้มีขึ้นเพราะต้องการให้เกิดความสูญเสีย แต่ด้วยความที่คนร้ายอยู่ในจุดสูงข่มที่สามารถเลือกยิงได้ถนัดถนี่ ขณะที่ฝ่ายทหารก็ไม่กล้ายิงตอบโต้ เพราะคนร้ายใช้โรงพยาบาลซึ่งมีผู้ป่วยและหมอ พยาบาลเป็นสถานที่กำบัง แต่ด้วยวิถีการยิงที่ได้เปรียบ กับการใช้กระสุนจำนวนมาก กลับไม่อาจก่อผลที่สมกับรูปแบบความรุนแรงที่ได้กระทำ
-
          ยิ่งไปกว่านั้น อาวุธปืนสงคราม 52 กระบอกที่คนร้ายใช้ มีเพียง 18 กระบอกที่มีประวัติในสารบบของฝ่ายความมั่นคงว่าเคยใช้ก่อเหตุรุนแรงมาก่อน แสดงว่าอาวุธปืนอีกถึง 34 กระบอก หรือเกือบ 2 เท่า เป็นอาวุธที่ไม่เคยถูกนำมาใช้ หรือเคยใช้แต่ไม่เคยถูกเก็บประวัติ (ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้)
-

          คำถามคืออาวุธเหล่านี้มาจากไหน?

-
          ขณะที่การติดตามจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุอุกอาจถึงขั้นควงอาวุธบุกยึดโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบก็อยู่ในอาการมืดแปดด้าน หมายจับที่ออกมาแล้ว 2-8 หมาย เป็นการออกตามประวัติการใช้ปืน 18 กระบอกในพื้นที่ 5 อำเภอของ จ.นราธิวาสเป็นหลัก ซึ่งต้องเรียกว่าเป็น "ฐานข้อมูลเก่า"
-
          ที่สำคัญ ผู้ก่อเหตุหลายคนไม่ได้ใช้ผ้าหรือหมวกคลุมศีรษะปกปิดใบหน้า ซ้ำยังเดินผ่านกล้องวงจรปิดแบบไม่กลัวใครจำได้อีกด้วย
-

7ข้อสงสัยปล้นรถ-ซุกบอมบ์
-
          เหตุการณ์ที่ 2 กรณีคนร้ายปล้นรถของลุงกับป้า สองสามีภรรยาจากพื้นที่บันนังสตา แล้วนำระเบิดถังแก๊ส 2 ถัง น้ำหนักระเบิด 160 กิโลกรัมยัดใส่รถ จากนั้นบังคับให้คุณลุงขับรถเข้าไปจอดกลางเมืองยะลาเพื่อกดระเบิด
-
          ยุทธวิธีของกลุ่มคนร้าย นอกจากจะจับคุณป้าแยกขึ้นรถไปอีกคันเพื่อเป็นตัวประกันแล้ว ยังให้คุณลุงสวมเสื้อที่ผูกระเบิดติดไว้ เป็นการกดดันและบังคับอีกชั้นหนึ่งให้คุณลุงทำภารกิจให้สำเร็จอีกด้วย
-
          เหตุการณ์นี้หากมีการระเบิดเกิดขึ้นจริง จะก่อความสูญเสียอย่างมหาศาล เพราะจุดที่คนร้ายบังคับให้คุณลุงขับรถไปจอด อยู่ใกล้ปั๊มน้ำมัน และบริษัทโตโยต้า พิธานพาณิชย์ยะลา ภาพที่คาดว่าจะออกมาหากเกิดระเบิด คือคนขับสวมเสื้อระเบิด คล้ายเป็น "ระเบิดพลีชีพ" เท่ากับเป็นการยกระดับความรุนแรงของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เทียบเท่าก่อการร้ายสากล
-
          เคราะห์ดีที่เหตุการณ์ไม่ได้บานปลายถึงเพียงนั้น แต่ก็ยังมีประเด็นข้อสงสัยจากฝ่ายต่างๆ จากหลายวงสนทนา พอสรุปได้ดังนี้
-
          1.วิธีการของคนร้ายที่ก่อเหตุ โดยการปล้นรถแล้วจับตัวประกันบังคับให้ขับรถของตัวเองบรรทุกระเบิดเข้าไปจอดในตัวเมือง เป็นวิธีการใหม่ที่ไม่เคยใช้มาก่อน ที่ผ่านมามีแต่คนร้ายฆ่าเจ้าทรัพย์ แล้วชิงรถไปติดตั้งระเบิด ก่อนนำไปจุดระเบิดตรงบริเวณที่เป็นเป้าหมายทันที เห็นได้จากเหตุ "คาร์บอมบ์" ล่าสุดใน อ.เมืองปัตตานี หน้าฐานของตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษ เมื่อ 27 ก.พ.ที่ผ่านมา ก็เป็นการฆ่าเจ้าทรัพย์ ชิงรถ ติดตั้งระเบิด แล้วโจมตี
-
          คำถามคือเหตุใดคนร้ายจึงเลือกใช้วิธีการที่ซับซ้อนและมีโอกาสผิดพลาดได้ง่าย หากหวังผลให้เกิดการระเบิดเพื่อสร้างความสูญเสียในเขตเมืองและย่านเศรษฐกิจ
-
          2.ความโหดเหี้ยมในการก่อเหตุของคนร้ายดูจะลดน้อยลงกว่าที่ผ่านๆ มา โดยเฉพาะหากเป็นกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ อ.บันนังสตา และ อ.กรงปินัง ซึ่งมีประวัติการก่อเหตุอย่างเหี้ยมโหด เพราะคุณป้าที่ตกเป็นตัวประกันก็ปลอดภัย แม้คุณลุงจะทำการไม่สำเร็จ คือไม่เกิดการระเบิดขึ้นก็ตาม
-
          3.คนร้ายบางส่วนหรือทั้งหมด ไม่ได้ปกปิดหน้าตา การปล่อยตัวประกันทำให้นำไปสู่การออกภาพสเก็ตช์และติดตามตัวคนร้ายได้ง่าย ซึ่งล่าสุดก็มีข่าวตำรวจเริ่มจับกุมผู้ต้องสงสัยแล้ว
-
          4.การวางระเบิดของคนร้าย จากข้อมูลของเจ้าหน้าที่ระบุว่า ระเบิดถังแก๊สทั้ง 2 ถังประกอบวงจรระเบิดไว้สมบูรณ์แล้ว และมีวงจรจุดระเบิดซ้อนมากกว่า 1 วงจร แต่หลังจากที่คนร้ายบังคับให้คุณลุงขับรถผ่านด่านตรวจเข้ามาในพื้นที่เขตเมืองได้แล้ว มีบางช่วงที่คุณลุงขับรถหลุดพ้นจากการควบคุมของคนร้าย เหตุใดคนร้ายจึงไม่จุดระเบิดทันที 
-
          5.กรณีเสื้อผูกระเบิดที่คนร้ายบังคับให้คุณลุงสวมใส่เพื่อข่มขู่ให้ขับรถบรรทุกระเบิดไปจอดยังเป้าหมาย โดยข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ระบุว่าคนร้ายต่อวงจรเอาไว้แล้ว เหตุใดคุณลุงจึงสามารถใช้กรรไกรตัดเสื้อระหว่างขับรถแล้วโยนทิ้งไปได้โดยไม่ระเบิด แต่กลับมีข่าวว่าเสื้อดังกล่าวระเบิดขึ้นระหว่างที่เจ้าหน้าที่เข้าทำการเก็บกู้ 
-
          6.เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นเหตุการณ์ใหญ่ และรูปแบบการก่อเหตุไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เหตุใดจึงมีแต่เพียงฝ่ายตำรวจและฝ่ายปกครองเท่านั้นที่มีข้อมูลและให้ข่าวกับสื่อ แต่ไม่ปรากฏข้อมูลในรายงานเหตุการณ์ของหน่วยงานทางทหาร
-
          7.ระเบิดแสวงเครื่องที่คนร้ายประกอบใส่ถังแก๊ส 2 ถังบรรทุกมาในรถ ยังมีข้อมูลสับสนว่าขับผ่านด่านตรวจของเจ้าหน้าที่เข้ามาหรือไม่ เพราะข้อมูลบางแหล่งระบุว่าขับผ่านด่านตรวจตามปกติ แต่บางแหล่งระบุว่าขับลัดเลาะหลบด่านทุกด้านจนเข้าเมืองได้
-
          นอกจากนั้นข้อมูลที่รายงานผ่านสื่อบางแขนงอ้างว่าคุณลุงถูกคนร้ายใช้ถุงดำคลุมศีรษะเกือบตลอดทาง แต่บางสื่อกลับอ้างว่าคุณลุงรู้เส้นทางขับรถของคนร้ายว่าหลบด่านเข้าเมืองได้อย่างไร ถึงขนาดพาเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองย้อนดูเส้นทางลัดเลาะหลบด่าน ในลักษณะย้อนรอยคนร้ายด้วย
-

สมมติฐานใครคือผู้สร้างสถานการณ์

-
          ทั้งสองเหตุการณ์ ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีฝ่ายรัฐบาล ทรราช คสช.  หรือต้องการสร้างภาพใน สถาณ๋การเลวร้าย ในแง่ลบ ตั้งประเด็นว่าเป็นการ "จัดฉาก" เพื่อหวังงบประมาณหรือด้วยเหตุผลของการต้องการ ฆ่าพี่้องมุสลิม
-
          ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญหลายหน่วยยืนยันตรงกันว่า เป็นไปได้น้อยมากที่เหตุการณ์ระดับนี้ ใช้คนมากขนาดนี้ จะกระทำโดย "โจรใต้"  เพราะปัจจุบันมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงหลายหน่วย หลายสี ปฏิบัติงานในพื้นที่จำนวนมาก มีการตรวจสอบซึ่งกันและกันค่อนข้างสูง และสิ่งที่โจรใต้ ไม่เคยพลาด จากการวางระเบิดมานัดครั้งไม่ถ้วนนั้น หากนำมาประกอยวิธีการวาง จะแตกต่างจาก เหตุการณ์ ระเบิด 160โล ครั้งนี้อย่างเห็นได้ชัด แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นฝีมือของรัฐบาล ทรราช คสช.
-
          ฉะนั้นการสร้างสถานการณ์โดยหน่วยใดหรือกลุ่มคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งจึงเป็นเรื่องไม่ยาก ที่จะคาดเดา
-
เหตุการณ์ ทั้ง 2 ครั้งนี้ จุดประสงค์เพื่ออะไร ถ้าไม่ใช่ งบประมาณและการคงอยู่ของกองกำลังทหารกว่า 5 หมื่นนาย ที่จะได้เบี้ยและอายุราชการทวีคูณอีกทั้งสวัสดิการต่างๆ อีกมากมาย บนคลาดน้ำตาและกองเลือดของพี่น้องประชาชน สืบต่อไป
-
          สิ่งที่เห็น อาจไม่ใช่สิ่งที่เป็น!

ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก อิศรา

-
เสรีชน


บทเรียนจากการรัฐประหาร ถึงบทสรูปที่เพื่อไทยหลาบจำ

-
เริ่มแล้ว! ปล่อยนักโทษการเมืองทั่วพม่า หลังอองซานซูจีออกประกาศวาระเร่งด่วน
-
สำนักข่าวอิระวดี รายงานว่า ตั้งแต่ช่วงเช้าวันนี้ (8 เม.ย. 2559) ในเมียนมาได้เริ่มการปล่อยตัวนักโทษทั่วประเทศ โดยที่เรือนจำอินเส่ง ในย่างกุ้ง มีนักโทษได้รับการปล่อยตัวกว่า 108 คน รวมถึง Thet Wai นักโทษการเมือง ซึ่งถูกจับกุมตามมาตรา 18 ของกฏหมายการชุมนุมอย่างสงบ จากการประท้วงเดี่ยวเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวเพื่อนนักกิจกรรม
-
ในมัณฑะเลย์มีนักโทษกว่า 400 คนได้รับการปล่อยตัว แต่ยังมีนักโทษทางความคิดที่ยังไม่ถูกปล่อยตัว 
-
นอกจากนั้น คาดว่านักศึกษาและนักกิจกรรมที่ถูกจับกุมจากการประท้วงต้านกฎหมายด้านการศึกษาที่พวกเขามองว่าไม่เป็นประชาธิปไตย เมื่อปีที่แล้ว (พ.ศ. 2558) จะได้รับการปล่อยตัวในวันนี้ด้วย
-
อองซานซูจีคือคนจริงคนหนึ่งที่กล้าต่อสู้และยอมตายในสนามประชาธิปไตย
-
หันมามองประเทศไทย  ประชาชนกว่า 14 ล้านคนมอบอำนาจให้แก่เพื่อไทยไปต่อสู้เพื่อพวกเขา แต่รัฐบาลเพื่อไทยไม่กล้าต่อสู้เพื่อปล่อยนักเคลื่อนไหวและนักโทษการเมือง กลับยอมก้มหัวเป็นเครื่องมือให้กับพวกอำมาตย์ โดยหวังว่าจะได้รับความเมตตา แม้จะเป็น เศษเสี่ยวของกากเดนของความ ยุติธรรม ซึ่งในที่สุดก็ถูกพวกมันใช้ทหาร ในนาม คสช. ล้มรัฐบาลที่มาจากประชาชน อยู่ดี 
-
หากเรามามอง ที่ผ่านนั้นคือความผิดของ เพื่อไทย หรือ 
-
ขอตอบดังๆ ว่า..............................ใช่
-
ผิดที่เพื่อไทย ไม่เคยสำนึก ว่าขบวนการ ยุติธรรม ของไทยได้ถูกครอบงำด้วย เหล่าอำมาตย์ทรราช และก็มีบทเรียนแล้วจากการยึดทรัพย์ของ ดร.ทักษิญ ชินวัตร จนถึงตัดสิน บนความอยุติธรรม อย่างชัดแจ้ง มาแล้ว
-
ผิดที่เพิ่อไทย  เชื่อว่าความ ยุติธรรม ในประเทศนั้นมีอยู่จริง 
-
และผิดอย่างมากที่ ไว้ใจ ทหารหมาหน้าตัวเมียอย่าง ประยุทธ์ จันทรโอชา ที่มาวันนี้ได้เห็นแล้ว ถึงความ อำมหิต โกหก หลอกลวง ตอแหล และหน้าด้านของ ทหารหมาหน้าตัวเมียเหล่านั้น 
-
บทเรียน ในปี 2549 คราวที่ทำรัฐประหาร  ของไอ้ ทหารชั่ว สนธิ ยังตอกย้ำ เพื่อไทยไม่พออีกหรือ
-
และบทเรียนของปี 2557 ที่ ทรราช คสช. ที่ฝากความเลวระยำ ทำชาติฉิบหายไปกว่า 5 ล้าน ๆ บาท.......... และได้จารึกความชั่วไว้กับแผ่นดินที่ต้องหวังรัฐบาลใหม่เข้ามาแก้ไข  ทั้งปัญหา แรงงานทาส ปัญหาเศรษกิจ ปัญหาฉ้อโกง ปัญหาการละเมิดสิทธฺมนุษยชน  และปัญหาทางการศึกษา  ก็น่าจะเพียงพอ สำหรับ ทำให้เพื่อไทย หลาบจำ ในความระยำของ เหล่าอำมาตย์ทรราช ที่ครอบงำ ประเทศอยู่ในขณะนี้
-
ผมในฐานะ ประชาชนคนหนึ่ง  ผมไม่เคยเชื่อว่าเลยว่า ประชาชนจะได้รับ อิสระภาพ เสรีภาพ และความ เสมอภาค จาก เหล่าอำมาตย์ทรราช คสช. หรือในร่าง รัฐธรรมนูญฉบับ มีชัย 
-
เพราะทั้งการคัดเลือกผู้ร่าง กรรมการร่าง รวมถึงระบบการ่างและวิธีการ ก็ล้วนแล้วแต่ เป็นผลผลิตจาก มดลูกของเผด็จการ ทั้งหมดทั้งสิ้น
-
แล้วอย่างนี้ประชาชนจะมี ประชาธิปไตย ได้อย่างไร
-
หากว่า......จะมีการเลือกตั้งในปี 60 อย่างที่ ทรราช คสช. กล่าวอ้าง ผมก็หวังว่า บทเรียนที่ผ่านมาจะเป็นบทสรูป ของเพื่อไทยและพี่น้องประชาชนฝ่าย ประชาธืปไตยเสียที
-
เพราะเพื่อไทย คือความหวังสุดท้ายของประชาชน 
-
เสรีชน


บทเรียนจากการรัฐประหาร ถึงบทสรูปที่เพื่อไทยหลาบจำ

-
เริ่มแล้ว! ปล่อยนักโทษการเมืองทั่วพม่า หลังอองซานซูจีออกประกาศวาระเร่งด่วน
-
สำนักข่าวอิระวดี รายงานว่า ตั้งแต่ช่วงเช้าวันนี้ (8 เม.ย. 2559) ในเมียนมาได้เริ่มการปล่อยตัวนักโทษทั่วประเทศ โดยที่เรือนจำอินเส่ง ในย่างกุ้ง มีนักโทษได้รับการปล่อยตัวกว่า 108 คน รวมถึง Thet Wai นักโทษการเมือง ซึ่งถูกจับกุมตามมาตรา 18 ของกฏหมายการชุมนุมอย่างสงบ จากการประท้วงเดี่ยวเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวเพื่อนนักกิจกรรม
-
ในมัณฑะเลย์มีนักโทษกว่า 400 คนได้รับการปล่อยตัว แต่ยังมีนักโทษทางความคิดที่ยังไม่ถูกปล่อยตัว 
-
นอกจากนั้น คาดว่านักศึกษาและนักกิจกรรมที่ถูกจับกุมจากการประท้วงต้านกฎหมายด้านการศึกษาที่พวกเขามองว่าไม่เป็นประชาธิปไตย เมื่อปีที่แล้ว (พ.ศ. 2558) จะได้รับการปล่อยตัวในวันนี้ด้วย
-
อองซานซูจีคือคนจริงคนหนึ่งที่กล้าต่อสู้และยอมตายในสนามประชาธิปไตย
-
หันมามองประเทศไทย  ประชาชนกว่า 14 ล้านคนมอบอำนาจให้แก่เพื่อไทยไปต่อสู้เพื่อพวกเขา แต่รัฐบาลเพื่อไทยไม่กล้าต่อสู้เพื่อปล่อยนักเคลื่อนไหวและนักโทษการเมือง กลับยอมก้มหัวเป็นเครื่องมือให้กับพวกอำมาตย์ โดยหวังว่าจะได้รับความเมตตา แม้จะเป็น เศษเสี่ยวของกากเดนของความ ยุติธรรม ซึ่งในที่สุดก็ถูกพวกมันใช้ทหาร ในนาม คสช. ล้มรัฐบาลที่มาจากประชาชน อยู่ดี 
-
หากเรามามอง ที่ผ่านนั้นคือความผิดของ เพื่อไทย หรือ 
-
ขอตอบดังๆ ว่า..............................ใช่
-
ผิดที่เพื่อไทย ไม่เคยสำนึก ว่าขบวนการ ยุติธรรม ของไทยได้ถูกครอบงำด้วย เหล่าอำมาตย์ทรราช และก็มีบทเรียนแล้วจากการยึดทรัพย์ของ ดร.ทักษิญ ชินวัตร จนถึงตัดสิน บนความอยุติธรรม อย่างชัดแจ้ง มาแล้ว
-
ผิดที่เพิ่อไทย  เชื่อว่าความ ยุติธรรม ในประเทศนั้นมีอยู่จริง 
-
และผิดอย่างมากที่ ไว้ใจ ทหารหมาหน้าตัวเมียอย่าง ประยุทธ์ จันทรโอชา ที่มาวันนี้ได้เห็นแล้ว ถึงความ อำมหิต โกหก หลอกลวง ตอแหล และหน้าด้านของ ทหารหมาหน้าตัวเมียเหล่านั้น 
-
บทเรียน ในปี 2549 คราวที่ทำรัฐประหาร  ของไอ้ ทหารชั่ว สนธิ ยังตอกย้ำ เพื่อไทยไม่พออีกหรือ
-
และบทเรียนของปี 2557 ที่ ทรราช คสช. ที่ฝากความเลวระยำ ทำชาติฉิบหายไปกว่า 5 ล้าน ๆ บาท.......... และได้จารึกความชั่วไว้กับแผ่นดินที่ต้องหวังรัฐบาลใหม่เข้ามาแก้ไข  ทั้งปัญหา แรงงานทาส ปัญหาเศรษกิจ ปัญหาฉ้อโกง ปัญหาการละเมิดสิทธฺมนุษยชน  และปัญหาทางการศึกษา  ก็น่าจะเพียงพอ สำหรับ ทำให้เพื่อไทย หลาบจำ ในความระยำของ เหล่าอำมาตย์ทรราช ที่ครอบงำ ประเทศอยู่ในขณะนี้
-
ผมในฐานะ ประชาชนคนหนึ่ง  ผมไม่เคยเชื่อว่าเลยว่า ประชาชนจะได้รับ อิสระภาพ เสรีภาพ และความ เสมอภาค จาก เหล่าอำมาตย์ทรราช คสช. หรือในร่าง รัฐธรรมนูญฉบับ มีชัย 
-
เพราะทั้งการคัดเลือกผู้ร่าง กรรมการร่าง รวมถึงระบบการ่างและวิธีการ ก็ล้วนแล้วแต่ เป็นผลผลิตจาก มดลูกของเผด็จการ ทั้งหมดทั้งสิ้น
-
แล้วอย่างนี้ประชาชนจะมี ประชาธิปไตย ได้อย่างไร
-
หากว่า......จะมีการเลือกตั้งในปี 60 อย่างที่ ทรราช คสช. กล่าวอ้าง ผมก็หวังว่า บทเรียนที่ผ่านมาจะเป็นบทสรูป ของเพื่อไทยและพี่น้องประชาชนฝ่าย ประชาธืปไตยเสียที
-
เพราะเพื่อไทย คือความหวังสุดท้ายของประชาชน 
-
เสรีชน