วิบากกรรมของนายกยิ่งลักษณ์
ผมอ่านข่าวนายกยิ่งลักษณ์เป็นโจทก์ฟ้องอดีตอัยการสูงสุด (นายตระกูล วินิจนัยภาค) กับพวกรวม 4 คน ข้อหาเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ต่อมาอดีต อสส ได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊คส่วนตัวตอบโต้ทำนองว่า "คดีจำนำข้าวท่านต้องทำตามหน้าที่เพื่อแทนคุณแผ่นดิน" ผมเห็นว่าคดีนี้มีความผิดปกติในหลายเรื่องและหลายขั้นตอน ดังนี้
1. คดีนี้เป็นคดีแรกของประเทศไทยหรืออาจเป็นคดีแรกของโลกก็ได้ที่หัวหน้ารัฐบาล ถูกดำเนินคดีจากการดำเนินนโยบายที่ได้แถลงต่อรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ การรับจำนำข้าวที่จริงคือการแทรกแซงตลาด (market intervention) ที่ทำกันมาทุกรัฐบาลรวมถึงรัฐบาล คสช ที่เพิ่งอนุมัติเงินงบประมาณไปแทรกแซงราคายางพารารวมถึงการอนุมัติเงินช่วย เหลือชาวนาไร่ละ 1,000 บาท
2. การแทรกแซงตลาดเพื่อเป็นการคุ้มครองและรักษาผลประโยชน์ของเกษตรกรให้สินค้า เกษตรได้รับผลตอบแทนสูงสุด เป็นแนวนโยบายด้านเศรษฐกิจที่รัฐธรรมนูญปี 2550 บังคับให้รัฐต้องดำเนินการตามมาตรา 75 วรรคแรก มาตรา 84 และ 84(8) และถือเป็นนโยบายของ "คณะรัฐมนตรี" ที่ต้องแถลงต่อรัฐสภาตามมาตรา 75 วรรคสอง การดำเนินตามแนวนโยบายดังกล่าวจึงชอบและเป็นไปตามรัฐธรรมนูญทุกประการ คำถามคือถ้านโยบายนี้ผิดกฎหมายจนต้องถูกดำเนินคดี เหตุใดจึงดำเนินคดีกับนายกยิ่งลักษณ์เพียงคนเดียวทั้งที่เป็นนโยบายของคณะ รัฐมนตรี เหตุใดหัวหน้ารัฐบาลคนอื่นๆ ที่ช่วยเหลือเกษตรกรด้วยการแทรกแซงตลาดเหมือนกันรวมทั้งหัวหน้า คสช ด้วยกลับไม่ถูกดำเนินคดี
3. เมื่อ ป.ป.ช. ได้ส่งสำนวนการไต่สวนมาให้อัยการสูงสุดดำเนินคดีกับนายกยิ่งลักษณ์ ได้มีการตั้งคณะทำงานของอัยการรวม 10 คนเพื่อพิจารณาในเรื่องนี้โดยมีรองอัยการสูงสุด (นายวุฒิพงศ์ วิบูลย์พงศ์) เป็นหัวหน้า คณะทำงานเห็นว่าสำนวนที่ส่งมามีข้อไม่สมบูรณ์รวม 4 ประเด็นสำคัญ จึงมีหนังสือแจ้งข้อไม่สมบูรณ์ไปยัง ป.ป.ช. ซึ่งก็ได้ตั้งคณะทำงานรวม 10 คนเท่ากับอัยการเพื่อมาหาข้อสรุปร่วมกัน ขั้นตอนนี้มีความแปลกประหลาดเกิดขึ้นคือ
(1) มีการนัดประชุมร่วมคณะทำงานสองฝ่ายครั้งแรก แต่หัวหน้าคณะทำงานฝ่ายอัยการกับพวกรวม 7 ท่านไม่ทราบจึงไม่ได้ไปประชุม มีเพียงอัยการ 3 ท่านที่ถูกนายกยิ่งลักษณ์ฟ้องไปประชุมกับ ป.ป.ช. ทำให้ครบองค์ประชุม หากคณะทำงานของอัยการทุกท่านได้รับแจ้งจาก ป.ป.ช. โดยชอบแล้วตามที่ท่านอดีต อสส ชี้แจง ต้องถือว่าหัวหน้าคณะและอัยการรวม 7 ท่านที่ไม่ได้ไปประชุมมีความผิด ท่าน อสส ในขณะนั้นได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นสอบสวนและลงโทษอัยการทั้ง 7 ท่านนี้อย่างไรหรือปล่อยเลยตามเลยครับ
(2) คณะทำงานอัยการ 3 ท่านที่ไปประชุมกับฝ่าย ป.ป.ช. ไม่แปลกใจบ้างเลยหรือครับว่าทำไมหัวหน้าคณะและพรรคพวกรวม 7 ท่านไม่ได้ไปประชุมด้วย ในคดีสำคัญที่มีอดีตนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ถูกกล่าวหาถ้าเป็นผมอย่างน้อยต้อง โทรตามหัวหน้าคณะหรือพรรคพวก ถ้าท่านเหล่านั้นไม่ทราบเรื่องก็ต้องขอเลื่อนการประชุมออกไป ผมว่าทุกคนในโลกคงทำแบบนี้เหมือนกัน
(3) ที่ประหลาดมากขึ้นก็คือทั้ง 3 ท่านที่ไปประชุมที่เคยเห็นร่วมกันแต่แรกว่าสำนวนมีความไม่สมบูรณ์กลับเห็น ตาม ป.ป.ช. ว่าสำนวนสมบูรณ์ที่จะฟ้องได้แล้วโดยไม่ต้องไต่สวนพยานหลักฐานเพิ่มเติม แล้วเหตุใดเมื่อยื่นฟ้องไปแล้วจึงมาขอเพิ่มเติมพยานเอกสารที่อยู่นอกสำนวน อีก 67,800 แผ่น คดีสำคัญขนาดนี้ทำไมไม่ทำให้รอบคอบครบถ้วนแต่แรกครับ
(4) นอกจากความผิดปกติที่ผมกล่าวแล้ว คดีนี้ยังเป็นคดีแรกที่ อสส เรียกสำนวนไปจากอัยการคดีพิเศษที่มีหน้าที่รับผิดชอบคดีของ ป.ป.ช. โดยตรง เพื่อมอบให้สำนักงานคดีสืบสวนและสอบสวนที่มีท่านสุรศักดิ์ ตรีรัตน์ตระกูล เป็นอธิบดีและเป็นหนึ่งในสามท่านที่ไปประชุมเป็นผู้รับผิดชอบแทน
4. ความผิดปกติทั้งหมดช่างบังเอิญมาเกิดขึ้นภายหลังจากที่หัวหน้า คสช มีคำสั่งปลดท่านอรรถพล ใหญ่สว่าง ที่เป็นอัยการสูงสุดในขณะนั้นและแต่งตั้งให้ท่านอดีต อสส ที่ถูกนายกยิ่งลักษณ์ฟ้องมาเป็นแทน ซึ่งถ้าไม่มีการปลดท่านอรรถพลแล้วท่านอดีต อสส ที่ถูกฟ้องจะไม่มีโอกาสเป็น อสส เลย นี่ใช่มั้ยครับที่ท่านบอกว่าคือการแทนคุณแผ่นดิน
ด้วยความเคารพในองค์กรอัยการ
วัฒนา เมืองสุข