ยินดีต้อนรับ

พลเมืองที่รอบรู้เท่าทัน คือ พลังประชาธิปไตยที่แท้จริง
Well-informed citizens are the true democratic forces.

Thursday, July 2, 2015

PIANGDIN ACADEMY: โครงการฝนหลวง คือโครงการ "ทำลาย" มากกว่า "ต้องการช...


เมื่อสิบกว่าปีก่อน ผู้เชียวชาญเกษตรอิสราเอล บอกว่า

"เสียดายที่มีโครงการฝนเทียม มีวิธีที่เอาน้ำมาช่วยในการเกษตรในไทย
มีเยอะเลย ง่ายกว่า และถูกกว่าฝนเทียมตั้งมาก
เช่น สูบน้ำจากแม่น้ำโขงขึ้นมา ไม่กี่สิบกิโล ก็ชุ่มฉ่ำไปทั้งอีสานแล้ว
ง่าย สบาย ถูก เป็นจริง และเห็นผลเร็ว


(ส่วน เกาหลีใต้ เสนอโครงการผันน้ำงึม จากลาว โดยยทางท่อ
มูลค่า 7.6 หมื่นล้าน ให้นายกยิ่งลักษณ์ ซึ่งนายกเห็นด้วย
ต้องยุบสภา และถูก ตลก. ตัดสินให้พ้นตำแหน่งนายกเสียก่อน)

ของอิสราเอลต้องเดินท่อน้ำจากทางเหนือ (ที่มีทะเลสาบใหญ่)
ลงไปทางใต้ (ที่แห้งแล้ง) เป็นร้อยๆ กิโล เรายังทำได้เลย

อิสราเอลเคยบอกไทยไปแทบทุกครั้งที่คุยกันเรื่องนี้
แต่เราก็ไม่เข้าใจ ว่าทำไมเขาไม่ทำ ทั้งๆ ที่อิสราเอลพร้อมสนับสนุน
ทั้งวิชาการ เทคโนฯ และเงินทุน (บางส่วน) ในการช่วยไทย
สูบน้ำจากแม่น้ำโขงขึ้นมาใช้ในการเกษตร"

และ

"ฝนจริงๆ ของไทยมีมากเกินพอ ที่ที่แล้งฝนที่สุดในเมืองไทย
ยังวัดปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยได้มากกว่า พื้นที่ที่ฝนตกมากที่สุดในอิสราเอล

ถ้าไม่อยากสูบน้ำจากแม่น้ำโขง ก็แค่หาวิธีเก็บน้ำฝน
(อย่างไม่ต้องสร้างเขื่อน) เลยก็ได้ เก็บได้พอใช้แน่นอน
อิสราเอลแนะไทยไปหลายครั้งแล้ว
แต่ทำไมไม่ไปลองทำ ก็ไม่รู้ ยังจะ (ดันทุรังกัน) เรื่องฝนเทียม ทำไม"












ประมวลภาพพลังพี่น้องไทย ในญี่ปุ่น ฉีกหน้าประยุทธ์ ...





ฝนที่ตก หยุดพี่น้องไม่ได้...
Free The 14
Free Thailand

สุดยอดจริง ๆ พี่น้องไทยในญี่ปุ่น



























Piangdin for Peace Academy: PIANGDIN ACADEMY: อุบัติการณ์ดาวดิน กับประชาธิปไตย...

อุบัติการณ์ดาวดิน กับประชาธิปไตยอันสมบูรณ์ภายใต้ คสช.

Fri, 2015-07-03 00:43






ก่อนหน้าที่เราจะเป็นสักขีพยาน วันยึดอำนาจรัฐประหาร วันที่ 22 พฤษภาคม
2557 สังคมไทยรู้จัก “นักศึกษากลุ่มดาวดิน” เพียง กลุ่มนักศึกษาเล็กๆ
ที่ออกมาช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่เหมืองทองคำ ในจังหวัดเลย
ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม

ล่วงเลยจากวันยึดอำนาจรัฐประหารมานานนับปี
ก่อนการอุบัติขึ้นของแรงกระเพื่อมไหวครั้งใหญ่ของการเมืองภายหลังรัฐประหาร
การปรากฎตัวของกลุ่มนักศึกษาดาวดิน และนักเคลื่อนไหวบางคน
ที่มารวมกลุ่มกันนั่งจ้องนาฬิกาที่ลานหน้าหอศิลป์ฯ ในคืนวันที่ 22 พฤษภาคม
2558 ครบรอบ 1 ปี การรัฐประหารและบริหารประเทศของคสช.
จวบจนนำไปสู่การเข้าสลายการชุมนุม และยื่นฟ้องเหล่านักศึกษา 14 คนอย่างลับๆ
ผ่านเอกสารที่ส่งไปตามบ้าน และวันที่ 24 มิถุนายน 2558
กลุ่มนักศึกษากลุ่มนี้ออกมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง เพื่อประกาศเจตนารมณ์ต่อต้าน
คสช. ซึ่งแน่นอน พวกเขาถูกจับกุมในเวลาต่อมา ด้วยหมายจับจากศาลทหาร
ในข้อหาฝ่าฝืนคำสั่ง คสช. ที่ห้ามมิให้ชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คน
และห้ามต่อต้าน คสช. และทางกลุ่มนักศึกษาไม่ขอยื่นประกันตัว


อุบัติการณ์ครั้งนี้คงผิดจากความคาดหมายของหน่วยงานความมั่นคงพอสมควร เพราะ
“ไฟ” ถูกจุดติดขึ้นมา ภายหลังการจับกุมดำเนินคดีกับเหล่านักศึกษา และ
การออกมากล่าวหาว่า การเคลื่อนไหวของ 14 นักศึกษานั้น
“มีเบื้องหลังไม่บริสุทธิ์” และ “มีกลุ่มการเมืองอยู่เบื้องหลัง”
รวมถึงกระแสต้านจากสังคมออนไลน์ที่กล่าวหาว่าพวกเขา “ถูกจ้างมา” ซึ่งผิดคาด

เพราะเกิดกระแสสนับสนุนเหล่านักศึกษาขึ้นมาสวนกระแสดังกล่าวจากทั้งในและนอก
ประเทศ และมีท่าทีว่าจะไม่หยุดลงโดยง่าย
ซึ่งเป็นกระแสเรียกร้องต่อรองกับรัฐบาล คสช.ให้ปล่อยตัว 14
นักศึกษาโดยไม่มีเงื่อนไข การล่ารายชื่อ โดยจากทั้งคณาจารย์ นักวิชาการ
นักคิดนักเขียนมากมาย นักศึกษากลุ่มอื่น แม้กระทั่งองค์กรระหว่างประเทศ
สหภาพยุโรป และ
สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติก็ร่วมออกแถลงการณ์กดดัน
คสช. จนเกิด “แรงกระเพื่อมไหว” ครั้งใหญ่

ใหญ่จน พล.อ.ประยุทธ์
ขอใช้สิทธิ์ “เลี่ยงไม่ตอบคำถามต่อสื่อมวลชน” ในวันที่ 29
มิถุนายนก่อนเดินทางไปประชุม ครม.สัญจรที่จังหวัดเชียงใหม่
และอาจจะนับเป็นครั้งแรกที่ พล.อ.ประยุทธ์ใช้สิทธิ์นี้
นับจากรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นต้นมา

ใหญ่จนคนมีตำแหน่งสูงๆ
ในรัฐบาล พากันออกมาประสานเสียงว่า “รู้ตัวคนอยู่เบื้องหลังกลุ่มนักศึกษา”
และ “เตรียมเล่นงานคนอยู่เบื้องหลังนักศึกษา” หลังจากตรรกะวาทกรรม
“ไม่เห็นด้วยกับ คสช.คือต้องการความไม่สงบ” ใช้ไม่ได้ผลนัก
แต่นั่นก็ไม่อาจกลบแรงกระเพื่อมไหวครั้งนี้ได้

จนกระทั่ง อนุสิษฐ
คุณากร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ต้องออกมาตั้งคำถามต่อสังคมว่า
การเคลื่อนไหวของนักศึกษากลุ่มนี้นั้น “สร้างประโยชน์อะไรให้แก่ประเทศบ้าง”
เพราะขณะนี้รัฐบาลกำลังเดินหน้าปฏิรูปเพื่อลูกหลานคนไทยทั้งประเทศ


สิ่งนี้ย้อนไปถึง คำกล่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรี
ที่พูดบ่อยครั้งตลอด 1 ปีที่ผ่านมา ที่พูดว่า คสช.จะนำ
ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์มาสู่ประชาชน และ ตัวท่านคือทหารประชาธิปไตย




ในการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบสากลนั้น ประชาชนมีสิทธิ์ที่จะต่อรองกับรัฐ
ทั้งเรื่องกฎหมายที่เป็นไม่ธรรม การร้องเรียนสิ่งที่ประชาชนต้องการ
การตีฆ้องร้องป่าวต่อความไม่เป็นธรรม รวมถึงสิทธิที่จะเอ่ยปากต่อต้านรัฐบาล
ดั่งเช่นที่ม๊อบทั้งหลายทำมานับ 10 ปีที่ผ่านมา ที่ใช้การต่อรองแบบ
รวมกลุ่มเป็นมวลชนเพื่อสร้างพื้นที่ต่อรองทางการเมืองกับรัฐบาล ซึ่งนับเป็น
“เสียง” ที่ดังที่สุดของประชาชนเท่าที่ระบอบการเมืองการปกครองจะมอบให้ได้


แต่นับตั้งแต่ กฎอัยการศึกออกมาบังคับใช้ จนถึง คำสั่ง คสช.
ออกมาประกาศใช้ พื้นที่ต่อรองของประชาชนก็หายไป “เสียง”
ถูกกลบหายด้วยอำนาจมาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญชั่วคราว และคำสั่งคสช.
คือตัวแทนอันเป็นรูปธรรมของภาวะ “ห้ามเถียง” “ห้ามคัดค้าน” “ห้ามต่อต้าน”
ที่ คสช.ใช้กับประชาชน ซึ่งไม่มีประเทศประชาธิปไตยที่ไหนเขาทำกัน
ไม่เคยมีการรัฐประหารครั้งใดเหมือนครั้งนี้ แม้ในมาตรา 4
แห่งรัฐธรรมนูญชั่วคราวที่เขียนรองรับถึงสิทธิพลเมืองที่ต้องได้รับการ
คุ้มครองก็ไร้ความหมาย อาจเพราะคำสั่งคสช. อยู่เหนือรัฐธรรมนูญชั่วคราว


ตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR)
ได้ระบุถึงสิทธิเสรีภาพพื้นฐาน คือสิทธิเสรีภาพที่จะพูดหรือแสดงออก
หากไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น การมี คำสั่งคสช.
คือการลิดรอนสิทธิเสรีภาพอย่างไม่ต้องสงสัย
และแน่นอนว่าประเทศประชาธิปไตยโดยทั่วไปแล้ว
ประชาชนมีสิทธิที่จะต่อรองกับรัฐเพื่อยกเลิกกฎหมายที่ริดลอนสิทธิเสรีภาพ
ขั้นพื้นฐานของพลเมือง เพราะมิเช่นนั้น “กฎหมาย” จะกลายเป็นเพียง “คำสั่ง”
ของรัฐแต่เพียงฝ่ายเดียว ที่เอาไว้กดขี่พลเมืองของรัฐ



วันที่ 22
พฤษภาคม 2558 ดาวดินจึงร้องตะโกนอย่างเงียบสงบ
ในพื้นที่การเมืองซึ่งไม่มีที่ให้เสียงใดได้เล็ดลอดออกจากความเงียบภายใต้
“คำสั่ง คสช.” ไปได้
ในพื้นที่ที่พวกเขาให้คำมั่นสัญญาว่าจะเกิดประชาธิปไตยที่สมบูรณ์
กลุ่มนักศึกษาและนักเคลื่อนไหวไร้อาวุธ แค่เพียงพูดในสิ่งที่ตนเชื่อ
นั่งมองนาฬิกาและชูป้ายผ้า นั้นมีความผิด



ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา
“นักศึกษา” คือตัวแทนของพลังบริสุทธิ์ พลังแห่งปัญญาชน จวบจนยุคสมัยของคสช.
ที่ภาพของนักศึกษา ถูกวาทกรรมป้ายสีให้พวกเขากลายเป็นทาสของทุน
ถูกซื้อและชักใยอยู่โดยผู้อื่น
ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองไทย


และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดนั้น คือความเงียบ ที่ไม่ใช่ความสงบ
แต่เป็นความเงียบสงัดที่รัฐได้ชิง “เสียง” ของประชาชนไป
การเคลื่อนไหวของดาวดิน เป็นเพียงกรณีเดียว
ที่สังคมได้รับรู้รับทราบผ่านการบอกเล่าของสื่อมวลชนเท่านั้น
เพราะในระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา คำสั่ง คสช. ได้ทำให้สังคมไทยเงียบสงัดลง
ไม่ว่าจะเป็นการเสวนาวิชาการที่ถูกปิดลงนับครั้งไม่ถ้วน
การไล่ชาวบ้านออกจากพื้นที่ต่างๆ นับไม่ถ้วน
ไม่ว่าจะเพราะที่ดินสปก.หรือพื้นที่ป่า
การสั่งห้ามการกิจกรรมเพื่อปฏิรูปที่ดิน
หรือแม้กระทั่งตามต่างจังหวัดที่คสช.เฝ้าระวัง แค่เพียงชาวบ้านนั่งรถเกิน 5
คน ก็จะมีการตั้งด่านจับเพื่อตรวจสอบ



ฉะนั้นภายใต้คำสั่ง คสช. นั้น เราไม่มีประชาธิปไตยใดๆ ทั้งสิ้น

และไม่มีอะไรเป็นหลักประกันได้ว่า หลังผ่านพ้นคำสั่ง คสช.ไปแล้ว เราจะได้มันมาหรือเปล่า



Credit:  http://prachatai.org/journal/2015/07/60137












PIANGDIN ACADEMY: อำนาจยิ่งล้นฟ้า ยิ่งต้องได้รับการตรวจสอบ เผด็จการ...

พี่น้องครับ... นี่คือวิดิโอที่ผมดูแล้วรู้สึกสะเทือนใจ และมีกำลังใจ ขอเชิญชวนให้พี่น้องทุกท่าน ได้ดู และควรเผยแพร่ให้กว้างขวางที่สุด

Posted by Red Grassroots on Thursday, July 2, 2015







Ugly Truths about the Royal Government and Marginalized News about Thai Politics: ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยถึงทหารกล้าทั้งหลาย









 เนื่องจากสถานการณ์บ้านเมืองของประเทศไทยยิ่งตึงเครียดทุกวัน เศรษฐกิจดึ่งลงเหว ชนชั้นร่าง เริ่มขาดรายได้เนื่องจาก นานาชาติไม่ยอมรับรัฐบาลเผด็จการทำให้การส่งออกไปต่างประเทศของไทยเริ่มออกได้น้อยลงเนื่องจากมีค่าภาษีนำเข้าที่มากขึ้นต่างจากรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยสิ่ง ซึ่งจะเสียภาษีนำเข้าน้อยทำให้ต้นทุนต่ำและทราบนำเข้าได้เป็นจำนวนมาก ล่าสุดเรื่องประมงที่ไม่ได้การยอมรับจากนานาชาติ เนื่องจากไทยได้ลุกล้ำน่านน้ำบ่อย จริงๆแล้วสาเหตุการไปเกินเขตุน่านน้ำมันมีกันอยู่บ่อยครับแต่ก็ยังไม่มีปัญหาอย่างปัจจุบันนี้ เนื่องจากต่างประเทศเขาไม่ยอมรับประเทศไทยเนื่องจากไม่เป็นประชาธิปไตย จึงหาข้อที่สามารถยุติความสัมพันธ์กับไทยทุกวิถีทางเนื่องจากประเทศไทยเป็นรัฐทหารถึงแม้เราจะรู้ว่าเบื้องหลังทหารก็คือกษัตริย์ จริงๆแล้วจะเผด็จการรูปแบบไหนเขาก็ไม่พร้อมที่จะค้าขายด้วยทั้งนั้น วิธีเดียวที่จะทำให้ประเทศไทยเข้าสู่ภาวะปกติ คือต้องกลับคืนสู่ประชาธิปไตย

  และสภาพสังคมไทยในปัจจุบันส่งผลต่อเศรษฐกิจเนื่องจากประเทศไทยมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างหนักและกรณีที่เห็นได้ชัด คือการจัด 14 นักศึกษาที่มีความเห็นต่างจากรัฐบาลเผด็จและแสดงออกด้วยการไม่ยอมรับรัฐบาลเผด็จการไม่ว่าจะรูปแบบใดก็ตาม ด้วยเหตุผลนี้ยิ่งทำความไม่พอใจกับหานานาชาติและนักศึกษาในประเทศและประชาชนในประเทศจำนวนมากเพียงแต่เขายังไม่ออกมาต่อต้านมากเท่าที่ควรแต่ตอนนี้เริ่มมีการออกมามากขึ้นเรื่อยๆและเชื่อว่ามันจะมามากกว่านี้อีกอาจจะมากกว่าเหตุการณ์ทางเมืองในอดีตที่ผ่านมาทั้งหลายเสียด้วย เหตุผลที่จะออกมาคือเศรษฐกิจตกต่ำจนถึงขีดสุด และถูกกดขี่เรื่องสิทธิเสรีภาพถูกละเมิดสิทธิมากมายจากรัฐบาลทหารภายใต้ระบอบกษัตริย์

 บทความนี้อยากส่งไปถึงพี่น้องประชาชนทีมีญาติพี่น้องที่เป็นทหารและทหารโดยตรงคุณจงกลับใจมาอยู่ข้างประชาชนก่อนที่ประชาชนจะทนไม่ได้ เมื่อประชาชนลุกขึ้นมาแล้วยากที่จะยับยั้งได้ ขอให้คุณมาอยู่กับประชาชนร่วมกันพัฒนาประเทศภายใต้ระบอบประชาธิปไตย ถ้าถึงวันที่ประชาชนลุกทั้งประเทศคุณไม่อยู่ข้างประชาชน ประชาชนจะมีกองทัพของตัวเองและมาสู้กับคุณแต่ถ้าคุณอยู่ข้างประชาชนคุณจะได้รับการสรรเสริญและการให้เกรียติย่างยิ่งคุณจะ คุณจะทนเห็นประชาชนอดอยากได้หรือ คุณจะทนเห็นประชาชนไม่มีเงินใช้ ไม่มีข้าวกินได้หรือ กลับมาอยู่ข้างประชาชน และหันกระบอกปืนใส่เผด็จการแล้วคุณจะได้รับการยกชู ยิ่งกว่าวีรบุรุษ แต่คุณคือผู้ปกป้องประเทศของประชาชนไปไหนจะได้รับเกรียติจากประชาชน แต่ถ้าคุณเลือกไม่อยู่ข้างประชาชนวันใดที่ประชาชนชนะคุณจะไม่มีที่ยืน ทหารกล้าครับคุณคงต้องเลือกแล้วเนื่องจากวันนั้นใกล้เข้ามาคุณจะอยู่ข้างไหน ข้างประชาชนหรือเผด็จการ



“ทหารถ้าคุณอยู่กับเผด็จการ รับใช้เผด็จการคุณจะทำให้ประเทศตกต่ำ”

       

จาก The Arrow












ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยถึงทหารกล้าทั้งหลาย




 เนื่องจากสถานการณ์บ้านเมืองของประเทศไทยยิ่งตึงเครียดทุกวัน เศรษฐกิจดึ่งลงเหว ชนชั้นร่าง เริ่มขาดรายได้เนื่องจาก นานาชาติไม่ยอมรับรัฐบาลเผด็จการทำให้การส่งออกไปต่างประเทศของไทยเริ่มออกได้น้อยลงเนื่องจากมีค่าภาษีนำเข้าที่มากขึ้นต่างจากรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยสิ่ง ซึ่งจะเสียภาษีนำเข้าน้อยทำให้ต้นทุนต่ำและทราบนำเข้าได้เป็นจำนวนมาก ล่าสุดเรื่องประมงที่ไม่ได้การยอมรับจากนานาชาติ เนื่องจากไทยได้ลุกล้ำน่านน้ำบ่อย จริงๆแล้วสาเหตุการไปเกินเขตุน่านน้ำมันมีกันอยู่บ่อยครับแต่ก็ยังไม่มีปัญหาอย่างปัจจุบันนี้ เนื่องจากต่างประเทศเขาไม่ยอมรับประเทศไทยเนื่องจากไม่เป็นประชาธิปไตย จึงหาข้อที่สามารถยุติความสัมพันธ์กับไทยทุกวิถีทางเนื่องจากประเทศไทยเป็นรัฐทหารถึงแม้เราจะรู้ว่าเบื้องหลังทหารก็คือกษัตริย์ จริงๆแล้วจะเผด็จการรูปแบบไหนเขาก็ไม่พร้อมที่จะค้าขายด้วยทั้งนั้น วิธีเดียวที่จะทำให้ประเทศไทยเข้าสู่ภาวะปกติ คือต้องกลับคืนสู่ประชาธิปไตย
  และสภาพสังคมไทยในปัจจุบันส่งผลต่อเศรษฐกิจเนื่องจากประเทศไทยมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างหนักและกรณีที่เห็นได้ชัด คือการจัด 14 นักศึกษาที่มีความเห็นต่างจากรัฐบาลเผด็จและแสดงออกด้วยการไม่ยอมรับรัฐบาลเผด็จการไม่ว่าจะรูปแบบใดก็ตาม ด้วยเหตุผลนี้ยิ่งทำความไม่พอใจกับหานานาชาติและนักศึกษาในประเทศและประชาชนในประเทศจำนวนมากเพียงแต่เขายังไม่ออกมาต่อต้านมากเท่าที่ควรแต่ตอนนี้เริ่มมีการออกมามากขึ้นเรื่อยๆและเชื่อว่ามันจะมามากกว่านี้อีกอาจจะมากกว่าเหตุการณ์ทางเมืองในอดีตที่ผ่านมาทั้งหลายเสียด้วย เหตุผลที่จะออกมาคือเศรษฐกิจตกต่ำจนถึงขีดสุด และถูกกดขี่เรื่องสิทธิเสรีภาพถูกละเมิดสิทธิมากมายจากรัฐบาลทหารภายใต้ระบอบกษัตริย์
 บทความนี้อยากส่งไปถึงพี่น้องประชาชนทีมีญาติพี่น้องที่เป็นทหารและทหารโดยตรงคุณจงกลับใจมาอยู่ข้างประชาชนก่อนที่ประชาชนจะทนไม่ได้ เมื่อประชาชนลุกขึ้นมาแล้วยากที่จะยับยั้งได้ ขอให้คุณมาอยู่กับประชาชนร่วมกันพัฒนาประเทศภายใต้ระบอบประชาธิปไตย ถ้าถึงวันที่ประชาชนลุกทั้งประเทศคุณไม่อยู่ข้างประชาชน ประชาชนจะมีกองทัพของตัวเองและมาสู้กับคุณแต่ถ้าคุณอยู่ข้างประชาชนคุณจะได้รับการสรรเสริญและการให้เกรียติย่างยิ่งคุณจะ คุณจะทนเห็นประชาชนอดอยากได้หรือ คุณจะทนเห็นประชาชนไม่มีเงินใช้ ไม่มีข้าวกินได้หรือ กลับมาอยู่ข้างประชาชน และหันกระบอกปืนใส่เผด็จการแล้วคุณจะได้รับการยกชู ยิ่งกว่าวีรบุรุษ แต่คุณคือผู้ปกป้องประเทศของประชาชนไปไหนจะได้รับเกรียติจากประชาชน แต่ถ้าคุณเลือกไม่อยู่ข้างประชาชนวันใดที่ประชาชนชนะคุณจะไม่มีที่ยืน ทหารกล้าครับคุณคงต้องเลือกแล้วเนื่องจากวันนั้นใกล้เข้ามาคุณจะอยู่ข้างไหน ข้างประชาชนหรือเผด็จการ

“ทหารถ้าคุณอยู่กับเผด็จการ รับใช้เผด็จการคุณจะทำให้ประเทศตกต่ำ”
       
จาก The Arrow