สำหรับกลุ่มประเทศในอาซี่ยน (ASEAN) คงไม่ต้องไปกล่าวถึง ให้มากเรื่องมากความ เป็นประชาคม ที่มุ่งเดินหน้าทางการค้าโดยเสรีประการเดียว แบบตัวใครตัวมัน ตราบเท่าที่ไม่มีสงครามกลางเมืองในไทย ไปตกกระทบเพราะพรมแดนติดกัน (As long as there is no effect of Civil War spilled over, it is o.k. for us.) เขาก็คงไม่มายุ่งกับเราแบบจริงจัง
การที่ประเทศไทย จงใจใช้อำนาจจากอธิปไตยในลักษณะโดยมิชอบเช่นนี้ (the exercising of Sovereign Powers in an ill – legitimacy manner) ย่อมส่งผลร้ายให้กับประเทศไทยเองในที่สุด แบบสิ้นหนทางออก และผู้จับกุมอำนาจรัฐไปใช้โดยมิชอบนี้ หมดสิ้นหนทาง ที่จะก้าวลงจากอำนาจ แบบสวยๆไปได้ เราต้องไม่ลืมไปว่า “วันนี้คือ คริสศตวรรษที่ ๒๑ แล้ว มิใช่คริสศตวรรษที่ ๑๙ และ ที่ ๒๐ อีกต่อไป โลกก้าวล้ำหน้าไปมากกว่า ที่เราจะคิดตามทัน ถ้าเราไม่คิดที่จะตามโลกให้ทัน” ประเทศของเราก็จะเสียโอกาส ไปเรื่อยๆ เมื่อเราถูกโลกที่เจริญแล้ว (Civilized Nations) เช่น EU และประเทศสหรัฐอเมริกา รวมทั้งบางชาติที่เจริญแล้วในเอเชีย และออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ บีบนวดไปเรื่อยๆไม่ว่าทางการค้า หรือสายสัมพันธ์ทางการฑูต
เราก็จะมีสถานภาพไม่ต่างไปจากประเทศสหภาพอาฟริกาใต้ ที่เคยโดนสหประชาชาติ และกลุ่มประเทศที่เจริญแล้ว Sanction เป็นเวลาถึง ๒๐ กว่าปี จนกระทั้งรัฐบาลคนผิวขาว ที่นำโดยประธานาธิบดี เคริกซ์ โบทาร์ ต้องยอมคุกเข่าทรุดตัวลง และยอมให้นายเนลสัน แมนเดล่า ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีผิวสีคนแรกของ ประเทศ South Africa และยกเลิก Apartheid ออกไปเสียจาก South Africa (พรุ่งนี้จะมาว่าต่อไปในเรื่อง Convention Against Transnational Organized Crimes, Sept. 2003 ว่ามีบทบาทเกี่ยวข้องกับประเทศไทยอย่างไร? และ Never ending War for Thailandคืออะไร?)