ประชาชนจะชนะได้อย่างไร: จะล้มช้าง สร้างชาติ ได้อย่างไร? ประชาชนจะชนะได้อย่างไร
(เครดิต จากไลน์)
เป็นคำถามใหญ่ในโลกโซเชียลหรือสังคมออนไลน์ ซึ่งคงมีคำตอบในหลายแง่มุม แต่ไม่ว่าแง่มุมไหน
จะเปลี่ยนระบอบได้ "อัตวิสัยต้องสอดคล้องกับภาววิสัย"
การใช้ ม.44 เพื่อข่มขู่กำราบไม่ให้ประชาชนรวมตัวกันต่อสู้ เป็นเรื่องของภาววิสัยที่เรากำหนดควบคุมไม่ได้
โดยทั่วไป พวกเผด็จการใช้ ม.44 แล้วคนทั่วไปไม่ชอบแน่ ๆ ถือว่าเป็นภาววิสัยที่เป็นผลดีต่อการเปลี่ยนระบอบ
มองตามหลักแบบ SWOT (นำข้อดี จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรคที่ขัดขวางมาวิเคราะห์) ถือว่าเป็นโอกาสที่ดี
แต่โอกาสที่ดีจะผ่านเลยไป ถ้าเราไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ หรือทางด้านอัตวิสัยไม่พร้อม
เช่น คนไม่พร้อม ยังไม่ได้จัดตั้ง ยังไม่รู้หลักการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงสังคม ฯลฯ เราก็จะได้แต่วิพากษ์วิจารณ์ พวกเผด็จการก็ทำเป็นหูทวนลม การเปลี่ยนระบอบก็ยังไม่เกิดขึ้น
ด้วยเหตุนี้จึงต้องเร่งทำให้อัตวิสัยของเรามีความพร้อม เพื่อจะใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนต่าง ๆ ของพวกเขา ซึ่งเป็นเรื่องของภาววิสัยได้อย่างมีพลัง แปรให้เป็นการจัดตั้งที่เข้มแข็งขึ้น ขยายตัวมากขึ้น และสร้างสรรค์กิจกรรมใหม่ ๆ ที่มีพลังมากขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มจากจัดตั้งตัวบุคคล แล้วรวมกันเป็นกลุ่ม จากนั้นขยายกลุ่มให้เป็นองค์กร
ดุลย์อำนาจของฝ่ายประชาธิปไตยก็จะค่อย ๆ สะสมกำลังเข้มแข็งขึ้นจนเอาชนะฝ่ายเผด็จการได้
จะเปลี่ยนระบอบกันจริง ๆ สิ่งที่เราต้องทำก็คือ การทำให้อัตวิสัยสอดคล้องกับภาววิสัย (ภาวสัยที่ด้านหนึ่งมีคนตื่นตัวก้าวหน้าตาสว่างมากมาย เห็นศัตรูได้ชัดเจน แต่ยังอยู่กันกระจัดกระจาย และอีกด้านหนึ่ง พวกเผด็จการราชาธิปไตยกำลังเพลี่ยงพล้ำบ้าอำนาจ การงัด ม.44 อาวุธโบราณย้อนยุค ซึ่งเคยใช้สมัยเมื่อ 50 ปีก่อนกลับมาใช้ในยุคนี้อีก เป็นตัวอย่างที่ชี้ได้ชัดว่าพวกเผด็จการหมดมุข ไปไม่เป็นแล้ว)
ภารกิจสำคัญนั้น ด้านหนึ่ง เปิดโปงศัตรู แต่อีกด้านหนึ่งที่ชี้ขาดชัยชนะคือการจัดกำลังของประชาชน เอาแต่เปิดโปงศัตรู แม้จะทำได้ง่าย แต่ไม่ชนะหรอก
การจัดตั้งหรือจัดกำลังของเราให้พร้อมรบ (ทุกรูปแบบ) ต่างหากคือปัจจัยชี้ขาด นี่คือทฤษฎีการเปลี่ยนระบอบที่สรุปมาจากทั่วโลก
นักสู้ที่อยู่ต่างประเทศ ควรเน้นบทบาทเปิดโปงผู้ที่อยู่เบื้องหลังสั่งการยุดเหล่อย่างชัดเจน ตรงไปตรงมา เผยโฉมหน้ามหาโจรให้โลกเห็น เคลื่อนไหว หนุนช่วย แปรข้อมูลข่าวสารภาษาไทยเป็นภาษาต่าง ๆ และกลับกัน แปรข้อมูลข่าวสารจากประเทศต่าง ๆ ให้เป็นภาษาไทย ประสานความร่วมมือกับบุคคล กลุ่มบุคคล องค์กร สื่อมวลชน กระทั่งถึงรัฐบาลและผู้นำรัฐบาลประเทศต่าง ๆ จัดตั้งองค์กรตัวแทนในประเทศต่าง ๆ กดดันรัฐบาลเผด็จการตัวแทนของทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐ กระหน่ำฟาดทั้งขนดหางและกลางกบาลให้หน้าหงาย ชี้ให้มวลชนเห็นเป้าหมายที่คนในประเทศมีข้อจำกัด พูดถึงไม่ได้
นักสู้ในประเทศเขตเมือง เน้นงานมวลชน ผู้ใช้แรงงาน สหภาพแรงงาน นักศึกษา นักวิชาการ งานสตรี แม่บ้าน คนชั้นกลาง กลุ่มอาชีพอิสระ ผู้นำทางความคิด กลุ่มอาชีพและชุมชนต่าง ๆ เป็นต้น เน้นต่อสู้ทางความคิด ให้ข้อมูล ทำงานด้านวัฒนธรรม เตรียมงานเศรษฐกิจรองรับ เตรียมสถานที่ฝึกอบรม ประชุม ฯลฯ
นักสู้ในชนบท เน้นงานมวลชน จัดตั้งเกษตรกร เยาวชน สตรี ฯลฯ เริ่มจากครอบครัว ไปสู่ระดับหมู่บ้าน จนถึงจังหวัด เน้นการถ่ายทอด แปรข้อมูลข่าวสารและงานวัฒนธรม (ไปเป็นเอกสาร ซีดี ฯลฯ ) สู่คนรากหญ้า โดยเฉพาะในหมู่นักสู้เสื้อแดงตาสว่าง เตรียมสถานที่ เตรียมอาหาร ที่พักพิง ฯลฯ
นักสู้ในโลกไซเบอร์ เน้นการต่อสู้ทางด้านความคิด ข้อมูล ข่าวสาร เผยแพร่งานวัฒนธรรม วิธีคิด วิธีทำงาน เพื่อการเปลี่ยนระบอบ รวบรวมเชื่อมร้อยนักสู้ทั้งในต่างประเทศ เขตเมือง และในชนบท ด้วยสมาร์ทโฟน (หรือเครื่องมือสื่อสารที่ทันสมัย มีใช้ทั่วไป แต่ต้องระมัดระวังเรื่องความปลอดภัย)แล้วส่งต่อให้กับหน่วยงานด้านการจัดตั้ง
นักรบทั้ง 4 เขตยุทธศาสตร์ ประสานเชื่อมร้อยด้วยระบบการจัดตั้งที่เข้มแข็ง ปิดลับ ไร้ร่องรอย มีตัวแทนประชุมหารือ ทำงานตามโครงการที่ร่วมกันกำหนด (มิใช่ต่างคนต่างคิด คิดอะไรได้ก็ทำตามใจที่อยากทำ) กำหนดขั้นตอนจังหวะก้าว ตอบโต้ รุกรบ ฯลฯ อย่างเป็นรูปธรรม
ที่สำคัญ จะต้องประสานงานร่วมมือกับองค์กรอื่น ๆ ให้กลายเป็นแนวร่วมที่กว้างใหญ่และทรงพลัง รวบรวมมวลชนที่กระจัดกระจายให้กลายเป็นกองทัพอันเกรียงไกร (ไม่ได้หมายถึงกองทัพที่ใช้อาวุธนะ แนวรบเรื่องใช้ความรุนแรง คงละไว้ก่อน)
ศัตรูที่ทำท่าขึงขัง จะกลายเป็นเป็ดง่อย ตัวสั่นงันงกอยู่กลางวงล้อมของกองทัพประชาชนที่มองไม่เห็น หาไม่เจอ แต่สัมผัสได้ถึงพลังแห่งการเปลี่ยนระบอบที่เข้มแข็งคึกคักและดุดัน เกิดขึ้นที่โน่น ที่นี่ ที่นั่น ด้วยรูปแบบหลากหลายไม่ซ้ำมุข ปะทะตอบโต้โจมตีพวกเขาทุกหนแห่งราวกับพายุบุแคม โหมกระหน่ำทำลายแนวปิดกั้นของพวกเขาไม่ว่าข่าวสาร การสื่อสาร การจัดตั้ง การประสานงาน เศรษฐกิจ วัฒนธรรม แล้วจึงพังทลายโครงสร้างสังคม ล้มล้างกลไกอำนาจรัฐที่ค้ำจุนบัลลังก์เลือด โค่นทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐ ยึดทรัพย์สินฯ มาพัฒนาประเทศ ช่วยกันสร้างสาธารณรัฐประชาธิปไตยใหม่ที่สดใสสวยงามและเจริญรุ่งเรือง
ปัจจุบัน ภาววิสัยเปลี่ยนไป เนื่องจากทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐเปลี่ยนยุทธศาสตร์จากหลอกลวงมาเป็นการปราบปราม ใช้บทกร้าวร้าว กดหัว กำราบประชาชน ประชาชนก็ต้องเปลี่ยนยุทธศาสตร์ให้ทัน
ต้องปรับอัตวิสัยของเราให้สอดคล้องกับภาววิสัยใหม่ จะใช้ความเคยชินเก่า ๆ ใช้ประสบการณ์เดิม ๆ ใช้ยุทธศาสตร์ยุทธวิธีที่เคยสำเร็จในอดีต หรือกระทั่งโหยหาแต่อดีตมิได้อีกแล้ว แม้มันจะเจ็บปวดแค่ไหนก็ต้องเริ่มต้นใหม่จากความเป็นจริง
การแบ่งเขตยุทธศาสตร์ภาคประชาชนออกเป็น 4 เขตยุทธศาสตร์ เป็นหนึ่งในการปรับตัวทางด้านอัตวิสัยของเราให้สอดคล้องกับภาววิสัยที่เป็นจริง เพราะเราไม่สามารถระดมมวลชนเป็นแสนเป็นล้านได้อีก การเลือกตั้งก็มิใช่คำตอบทางยุทธศาสตร์อีกแล้ว หากยังเปลี่ยนระบอบไม่ได้ เลือกตั้งไปก็ไร้ประโยชน์
ตามหลักคิดแบบ 4 เขตยุทธศาสตร์นี้ จะเกิดผู้นำการเปลี่ยนแปลงขึ้นในแต่ละส่วน ซึ่งอาจจะไม่ใช่ผู้นำเดิม ๆ ที่มีข้อจำกัดในการต่อสู้ในเมืองแบบเปิดเผยในอดีต
แต่ถ้าอดีตผู้นำทั้งหลายพร้อมจะก้าวไปข้างหน้า มาร่วมสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของประชาชน ขบวนประชาชนก็ยินดีต้อนรับ แต่ต้องพิสูจน์ตนเองท่ามกลางการต่อสู้ สรุปบทเรียนในอดีต ตั้งต้นกันใหม่ ปรับวิธีคิด เปลี่ยนวิธีทำงาน เสริมอุดมการณ์ และเพิ่มจิตใจรับใช้ประชาชน ท่านก็จะได้รับการยอมรับอย่างมิต้องสงสัย
ผู้นำที่เปิดเผยได้ ส่วนมากจะอยู่ในต่างประเทศ ส่วนผู้นำในเขตเมืองและชนบทต้องปิดลับอย่างเข้มงวด ทั้งตัวบุคคล องค์กรจัดตั้ง และงานการจัดตั้งที่เป็นรูปธรรม
ปัจจุบัน ขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในการเปลี่ยนระบอบคือ
1. รวบรวมมวลชนคนก้าวหน้าตาสว่าง ผู้รักประชาธิปไตย เกลียดชังเผด็จการราชาธิปไตยให้เป็นกลุ่มก้อน ด้วยรูปแบบต่าง ๆ เช่นการเปิดห้องต่าง ๆ ในไลน์ นี้ก็เป็นตัวอย่างที่ดี
2. คัดกรองนักสู้ตัวจริง แยกแยะสปายสายลับที่ปลอมปนเข้ามาอย่างรัดกุม
3. จัดตั้ง "หน่วยจัดตั้ง" ตามระดับความตื่นตัวทางการเมือง สร้างงานรูปธรรมตามสภาพความพร้อมที่เป็นจริง (แตกต่างกันในแต่ละหน่วย) ด้วยความคิดรวมหมู่ของสมาชิกในหน่วยซึ่งมีจำนวน 3-9 คน ถ้ามากกว่านี้ต้องแยกหน่วยเพื่อความคล่องตัว
ในหน่วยจัดตั้ง ต้องมีประชาธิปไตยอย่างเต็มที่ ขบคิด อภิปราย แลกเปลี่ยน สอบถาม แสดงความคิดเห็นได้เต็มที่ แล้วสรุปเป็นมติของที่ประชุม มอบหมายให้สมาชิกไปปฏิบัติด้วยความรับผิดชอบ ซึ่งอาจรับไปแค่ 1 คน 3 คน หรือทั้งหมดก็ได้ สุดแท้แต่ความเหมาะสม
มีวาระการพบปะเป็นประจำ สม่ำเสมอ เพื่อสรุปสถานการณ์ ยกระดับความรับรู้ เชื่อมมิตรสัมพันธ์ สรุปงาน และกำหนดภารกิจใหม่ เป็นต้น แต่ควรเปลี่ยนแปลงสถานที่บ่อย ๆ ใช้ชื่อจัดตั้ง (แม้จะรู้จักชื่อจริง) ระมัดระวังมิให้เอกสารและความลับต่าง ๆ รั่วไหล ไม่ถ่ายรูป ไม่เขียนบันทึกตรง ๆ ควรใช้รหัสหรือสัญลักษณ์ให้มากที่สุด รวมทั้งเบอร์โทรศัพท์ต่าง ๆ ให้สร้างรหัส เช่น เลขตัวสุดท้ายบวก 3 ฯลฯ รักษาระเบียบวินัยโดยเฉพาะเรื่องกฎงานลับห้ามละเมิดเด็ดขาด เพราะถ้าศัตรูรู้ มันคงไม่ปล่อยเราเอาไว้แน่
ในหน่วย ต้องเลือกผู้ประสานงานหรือหัวหน้าหน่วยขึ้นไปประสานกับหน่วยอื่น ๆ เน้นว่าเลือกนะ มิใช่ให้ใครตั้งขึ้นมา ต้องสร้างวัฒนธรรมการเลือกตั้ง การใช้สิทธิ และรับผิดชอบต่อหน้าที่ด้วย กล่าวคือเมื่อแสดงความเห็นอย่างเต็มที่แล้ว ครั้นถึงวาระที่ต้องแบ่งงานกันทำ ก็ต้องอาสาหรือขานรับหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างกระตือรือร้น เพราะถือว่าเป็นภารกิจที่มีเกียรติ
ขณะเดียวกัน ถ้าสมาชิกท่านใดขยายคนที่มาเข้าร่วมได้เพิ่มขึ้น 1 คน ก็ให้ไปสัมพันธ์ในลักษณะตัวต่อตัว จนกว่าจะหาสมาชิกมาเพิ่มได้อีก 1 คน จึงนำทั้ง 2 คนและตัวเราจัดตั้งขึ้นเป็นหน่วยใหม่ ไม่นำเข้ามาในหน่วยจัดตั้งที่เราสังกัดอยู่เดิม
หน่วยจัดตั้งลักษณะนี้ จะสื่อสารได้สองทาง มิใช่รับคำสั่งใคร ผู้ประสานงานหรือหัวหน้าหน่วยจะต้องเสียสละมากกว่า เหนื่อยมากกว่า ความรับผิดชอบสูงกว่า อันตรายมากกว่า ยิ่งมีหลายหน่วยก็ยิ่งหนักหน่อย
นี่เป็นภารกิจเพื่อการเปลี่ยนระบอบ ต้องอาศัยความเสียสละ ความกล้าหาญ ภาวะผู้นำ ฯลฯ
ทั้งหมดนี้ ต้องดำเนินการด้วยความลับ เพื่อความปลอดภัยของสมาชิกทุกคน มิใช่เพื่อความโก้เก๋ หวังคะแนนเสียง ชื่อเสียงส่วนตัว ลาภยศสรรเสริญ โอ้อวด หรืออวดสาว ๆ เพราะจะไม่มีใครรู้ว่าคุณหรือใครทำ และคุณอาจจะถูกศัตรูทำลายเมื่อไหร่ก็ได้ อีกทั้งไม่มีใครจ้างคุณมาทำด้วย
คุณจะเป็นนักสู้นิรนามที่ต่อสู้ด้วยอุดมการณ์และความเสียสละอย่างสูง เพื่อภารกิจทางประวัติศาสตร์ จะเป็นนักปฏิวัติที่มีความทรหดอดทนเป็นเลิศ ไม่ระย่อท้อถอย มีหัวใจที่มุ่งมั่น แม้จะต้องฝังศพเพื่อน เช็ดคราบเลือดที่เกรอะกรัง ก็จะก้าวต่อไปด้วยหัวใจที่กล้าแกร่ง ไปสร้างความฝันให้เป็นจริง โค่นล้มศัตรู เปลี่ยนระบอบ สร้างประชาธิปไตย สร้างประเทศขึ้นมาใหม่ให้เจริญก้าวหน้าและพัฒนารุ่งเรือง เพื่อลูกหลาน เพื่อประชาชน เพื่อประเทศชาติ และเพื่ออุดมการณ์อันสูงส่ง
เคยนั่งรถไปเที่ยวเมืองฮอยอัน เวียดนาม รถจะผ่านเมืองกวางตรี เมืองเว้ เมืองดานัง ตลอดสองข้างทางจะมีสุสานวีรชนนิรนามเต็มไปหมด ถ้าเขาเหล่านั้นไม่กล้าต่อสู้ไม่กล้าเสียสละไม่มีอุดมการณ์อันสูงส่ง คงจะไม่มีเวียดนามในวันนี้ และแน่นอนถ้ามองเข้าไปในจีน กว่าจะมีประเทศจีนในวันนี้ ก็ต้องผ่านช่วงประวัติศาสตร์ที่เจ็บปวด มีวีรชนนิรนามจำนวนมากที่ยอมเสียสละเพื่อบ้านเมืองมาก่อน
ประวัติศาสตร์ของประเทศเรากำลังมาถึงจุดนี้ จุดที่ศัตรูของประชาชนกำลังบ้าคลั่งและพังทลาย จุดที่พวกเขากำลังเปลี่ยนหัวขบวน กลไกแขนขาก็จ้องโกงกินกอบโกยเพราะรู้ว่านาทีทองมีไม่นานนัก หรือไม่ก็เกียร์ว่างวางเฉย รอเจ้านายใหม่เผยตัวให้ชัดเสียก่อน เป็นจุดอ่อนที่หาไม่ได้ง่าย ๆ ยิ่งมีนายกตัวตลกหน้าม่านที่มือเปื้อนเลือดและขุดแต่อาวุธโบราณอย่าง ม.44 มาใช้เพื่อกดหัวปิดปากประชาชน บอกได้เลยว่า โอกาสของการเปลี่ยนแปลงมาถึงแล้ว เร่งศึกษา เร่งจัดตั้งกันเถิดพี่น้อง
จัดวางกำลังคนของเราให้พร้อมในเขตยุทธศาสตร์ทั้ง 4 เชื่อมร้อยด้วยการจัดตั้งที่ปิดลับและเข้มแข็ง
ประสานกับองค์กรผู้รักประชาธิปไตยทั้งปวง แสวงหาความร่วมมือและใช้พลังทุกอย่างทั้งในประเทศและต่างประเทศ ให้นักรบไซเบอร์เป็นกองกำลังเผยแพร่ (ทั้งข้อมูล ข่าวสาร ความคิด และสติปัญญาต่าง ๆ ) ไปสู่หน่วยงานจัดตั้งอื่น ๆ ทั้งในเมืองและในชนบท แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้ว
No comments:
Post a Comment
Note: Only a member of this blog may post a comment.