ยินดีต้อนรับ

พลเมืองที่รอบรู้เท่าทัน คือ พลังประชาธิปไตยที่แท้จริง
Well-informed citizens are the true democratic forces.

Thursday, November 14, 2024

Mahidol Family and the Thai Political Landscape

Mahidol Family and the Thai Political Landscape

The role of the Mahidol family, particularly under King Rama IX (King Bhumibol Adulyadej) and King Rama X (King Maha Vajiralongkorn), has had a significant influence on the political, social, and economic structure of Thailand. Over the course of more than 70 years of King Rama IX’s reign, combined with the current role of King Rama X, the actions and policies associated with the Mahidol family have been widely scrutinized. These include consolidating the monarchy’s power, obstructing democratic progression, centralizing wealth and influence, and affecting social transformation in Thailand. The following are key points related to the Mahidol family’s role within the Thai political landscape:


1. Promoting the Stability of the Monarchy and Constructing a Public Image through Royal Projects


During King Rama IX’s reign, numerous royal development projects were launched, especially in rural areas, such as the Doi Tung Development Project and flood control projects in irrigation zones. These initiatives were recognized for benefiting rural communities, yet they were also criticized for reinforcing public support and confidence in the monarchy, which helped safeguard its power and perpetuate the hierarchical social order in Thailand. Additionally, these projects cultivated a sense of dependency on the monarchy, strengthening its legitimacy and public influence. This strategy allowed the monarchy to maintain stability, yet it was sometimes seen as a means of preserving monarchical authority.


2. Interference in Democratic Processes and Control over Political Systems


Throughout King Rama IX’s reign, there were instances of intervention in democratic processes and resistance to advancing democratic governance. Examples include the military coups of 1976, 1991, 2006, and 2014, which were often linked to efforts to safeguard the monarchy’s stability. During times of political conflict, King Rama IX played a significant role by making public statements that were seen as stabilizing the political landscape. However, such instances were viewed as interference in democratic processes, raising questions about whether Thailand’s governance could truly be considered democratic when monarchical influence remained prominent.


3. Centralization of Power and Accumulation of Substantial Wealth


Both King Rama IX and King Rama X have visibly consolidated their authority, particularly concerning the management of royal assets. Under King Rama X, laws governing royal assets were revised, resulting in the transfer of massive wealth valued in the hundreds of billions of baht directly under his personal control. This consolidation of wealth positioned the monarchy as one of the wealthiest institutions in the country, sparking criticism that the monarchy’s asset accumulation, without redistribution or benefit to the public, contradicts democratic principles, which advocate for economic equality. Furthermore, the monarchy’s significant control over assets and influence in Thailand’s economic and political spheres has drawn critique.


4. Judicial Power and Bureaucratic Mechanisms in Protecting the Monarchy


In recent years, Thailand’s judiciary and bureaucratic systems have played an essential role in protecting the monarchy and controlling perceived threats to the institution. For example, lèse-majesté law (Section 112) has been used to silence dissenting voices or criticism that might harm the monarchy. This law has been criticized as a tool for restricting freedom of expression, hindering democratic progress. The use of judicial power in this way reflects a seemingly unreasonable use of authority to protect the monarchy’s interests, which counters democratic legal principles that are meant to uphold citizens’ rights to freedom of expression.


5. Power Succession in King Rama X’s Reign and Differences in Monarchical Administration


Under King Rama X, the administration of the monarchy has undergone noticeable changes, with the King spending much of his time residing in Germany. This has raised criticism regarding his responsibilities as a national leader. Additionally, several laws were amended, including those centralizing control over royal assets and strengthening political influence in various situations, which has led to public discontent. The shift in how the monarchy operates under King Rama X has created a sense of detachment from the public and has intensified social tensions due to the exercise of power and wealth.


Summary


The Mahidol family’s role, especially under King Rama IX and King Rama X, has profoundly impacted Thailand’s political, social, and economic changes. Initiatives such as promoting the monarchy’s stability through royal projects, interference in democratic processes, centralizing assets, exercising judicial authority, and succession in King Rama X’s administration have shown the monarchy’s high level of influence over the nation’s governance structure. However, these policies have also been criticized for curtailing freedom of expression and fostering social division, which runs counter to democratic principles.


บทแปลภาษาไทย


บทบาทของตระกูลมหิดล โดยเฉพาะในยุครัชกาลที่ 9 (พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช) และรัชกาลที่ 10 (พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว) เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อโครงสร้างทางการเมือง สังคม และเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยตลอดระยะเวลากว่า 70 ปีแห่งการครองราชย์ของรัชกาลที่ 9 บวกกับบทบาทของรัชกาลที่ 10 ในยุคปัจจุบัน บทบาทและการกระทำต่าง ๆ ของตระกูลมหิดลได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์และวิเคราะห์อย่างหลากหลาย ทั้งในด้านการส่งเสริมความมั่นคงของสถาบันกษัตริย์ การขัดขวางประชาธิปไตย การรวมศูนย์อำนาจและอิทธิพล รวมถึงการส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในประเทศไทย บทความนี้จะกล่าวถึงประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับตระกูลมหิดลในบริบทการเมืองไทย ดังนี้:


1. การส่งเสริมความมั่นคงของสถาบันกษัตริย์และการสร้างภาพลักษณ์ผ่านโครงการพระราชดำริ


ในรัชกาลที่ 9 ได้มีการพัฒนาโครงการพระราชดำริมากมาย โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท เช่น โครงการพัฒนาพื้นที่ดอยตุง และโครงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในเขตชลประทาน โครงการเหล่านี้เป็นที่ยอมรับว่ามีประโยชน์ต่อการพัฒนาชุมชนชนบท แต่ก็เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการสร้างฐานสนับสนุนและความเชื่อมั่นในพระราชวงศ์ ซึ่งสามารถสร้างอิทธิพลในการคุ้มครองอำนาจของสถาบันกษัตริย์และสืบทอดระบบชนชั้นในสังคมไทย นอกจากนี้ การส่งเสริมความนิยมในสถาบันกษัตริย์ผ่านโครงการเหล่านี้ยังสร้างภาพลักษณ์ให้ประชาชนรู้สึกถึงความเป็นที่พึ่งพิงของพระมหากษัตริย์ แต่ก็ถูกมองว่าเป็นวิธีการเสริมสร้างความชอบธรรมในการรักษาอำนาจ


2. การแทรกแซงกระบวนการประชาธิปไตยและการควบคุมระบบการเมือง


ในช่วงรัชกาลที่ 9 มีเหตุการณ์การแทรกแซงกระบวนการประชาธิปไตยและการขัดขวางการพัฒนาระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย เช่น กรณีการรัฐประหารในปี 2519, 2534, 2549, และ 2557 ซึ่งหลายครั้งถูกอธิบายว่ามีความเชื่อมโยงกับการรักษาความมั่นคงของสถาบันกษัตริย์ ในช่วงเวลาที่มีความขัดแย้งทางการเมือง รัชกาลที่ 9 ได้มีบทบาทสำคัญในการปรากฏตัวในสื่อสาธารณะหรือในการออกแถลงการณ์ ทำให้เกิดความเข้าใจว่าพระมหากษัตริย์มีบทบาทในการส่งเสริมให้เกิดเสถียรภาพทางการเมือง อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์เช่นนี้อาจถูกมองว่าเป็นการแทรกแซงระบบการเมืองประชาธิปไตย ทำให้เกิดคำถามว่าระบอบการปกครองของไทยยังคงเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงหรือไม่


3. การรวมศูนย์อำนาจและการสะสมทรัพย์สินมหาศาล


รัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10 ได้รวมศูนย์อำนาจไว้ที่ตนเองอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในด้านการจัดการทรัพย์สินส่วนพระองค์ ซึ่งมีมูลค่ามหาศาลและมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจไทย ในรัชกาลที่ 10 ได้มีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายเกี่ยวกับทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ซึ่งนำมาสู่การรวมศูนย์การบริหารทรัพย์สินมหาศาลที่มีมูลค่าหลายแสนล้านบาทไว้ในพระหัตถ์ การสะสมทรัพย์สินในลักษณะนี้ทำให้สถาบันกษัตริย์กลายเป็นกลุ่มที่มีทรัพย์สินมากที่สุดในประเทศ ทำให้เกิดการวิจารณ์ว่าการสะสมทรัพย์สินโดยไม่มีการกระจายหรือคืนผลประโยชน์สู่สาธารณะขัดกับหลักการของประชาธิปไตยที่ควรจะสร้างความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจในสังคม นอกจากนี้ ยังมีข้อวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการใช้ทรัพย์สินเหล่านี้เพื่อควบคุมอิทธิพลในเศรษฐกิจและการเมืองไทย


4. การใช้อำนาจตุลาการและระบบราชการในการคุ้มครองสถาบันกษัตริย์


ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กลไกตุลาการและระบบราชการได้มีบทบาทสำคัญในการคุ้มครองสถาบันกษัตริย์และการควบคุมกลุ่มการเมืองที่ถูกมองว่าเป็นภัยต่อระบบ ตัวอย่างเช่น การใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (มาตรา 112) เพื่อควบคุมและปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นหรือการวิจารณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่อสถาบันกษัตริย์ กฎหมายนี้ถูกวิจารณ์ว่าเป็นเครื่องมือในการควบคุมเสรีภาพในการแสดงออก และเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตย การใช้อำนาจตุลาการเช่นนี้สะท้อนถึงการใช้อำนาจอย่างไม่สมเหตุสมผลในการคุ้มครองผลประโยชน์ส่วนตัวของสถาบันกษัตริย์ โดยขัดกับหลักการของระบบกฎหมายในระบอบประชาธิปไตยที่ควรจะให้เสรีภาพในการแสดงออกแก่ประชาชนอย่างแท้จริง


5. การสืบทอดอำนาจในรัชกาลที่ 10 และการบริหารสถาบันกษัตริย์ที่แตกต่าง


ในรัชกาลที่ 10 การเปลี่ยนแปลงการบริหารของสถาบันกษัตริย์ได้เกิดขึ้นอย่างชัดเจน โดยมีการย้ายถิ่นฐานไปยังประเทศเยอรมนีเป็นส่วนใหญ่ ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับความรับผิดชอบในฐานะผู้นำของประเทศ นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายหลายข้อ เช่น การรวมศูนย์อำนาจการควบคุมทรัพย์สินส่วนพระองค์และทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ไว้ที่พระองค์เอง รวมถึงการแทรกแซงการเมืองในประเทศในหลายโอกาส ซึ่งนำไปสู่ความไม่พอใจและการวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชน ความเปลี่ยนแปลงในการบริหารสถาบันกษัตริย์ในรัชกาลที่ 10 จึงถูกมองว่าเป็นการลดความยึดเหนี่ยวและความใกล้ชิดกับประชาชน และการใช้ทรัพย์สินและอำนาจในลักษณะที่เพิ่มความขัดแย้งในสังคมไทย


สรุป


บทบาทของตระกูลมหิดล โดยเฉพาะรัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10 ได้มีอิทธิพลที่ลึกซึ้งต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง สังคม และเศรษฐกิจของประเทศไทย การสร้างภาพลักษณ์และความมั่นคงของสถาบันกษัตริย์ผ่านโครงการพระราชดำริ การแทรกแซงกระบวนการประชาธิปไตย การรวมศูนย์อำนาจและทรัพย์สิน การควบคุมระบบตุลาการ และการสืบทอดอำนาจในลักษณะที่เปลี่ยนไปในรัชกาลที่ 10 เป็นประเด็นที่สะท้อนถึงการมีอิทธิพลสูงของตระกูลมหิดลต่อโครงสร้างการปกครองของประเทศ อย่างไรก็ตาม การดำเนินนโยบายเหล่านี้ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการลดทอนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และเป็นการสร้างความแตกแยกในสังคมซึ่งขัดกับหลักการประชาธิปไตย

Monday, October 21, 2024

ตื่นเถิดประชาชนผู้หลับใหล

ดร. เพียงดิน รักไทย


ชนชั้นปกครองที่เป็นทรราชมีวิธีการอันชาญฉลาดและแยบยลในการวางแผนเพื่อควบคุมและทำให้ประชาชนขาดความตื่นรู้ต่อสิทธิและเสรีภาพของตนเอง พวกเขาไม่เพียงแต่สร้างสภาพแวดล้อมที่ประชาชนถูกขังอยู่ในความไม่รู้เท่านั้น แต่ยังรักษาสถานการณ์นี้เอาไว้เพื่อประโยชน์ของตนเอง ผ่านการใช้เครื่องมือหลากหลายที่ออกแบบมาเพื่อให้ประชาชนไม่ตั้งคำถาม ยอมรับอำนาจอย่างไร้การวิพากษ์ และอยู่ใต้อิทธิพลของความกลัว การแตกแยก และการควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จ

วิธีที่ชนชั้นปกครองทรราชใช้เพื่อยึดครองอำนาจมีหลากหลายรูปแบบ ทั้งการบังคับควบคุมเชิงกฎหมาย การสร้างอุดมการณ์ที่บิดเบือน การบ่มเพาะความกลัวและความแตกแยกในสังคม หรือแม้กระทั่งการปิดกั้นการเข้าถึงความรู้และข้อมูลที่แท้จริง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นกลยุทธ์ที่ออกแบบมาเพื่อทำให้ประชาชนไม่กล้าตั้งคำถาม ไม่ลุกขึ้นมาท้าทายอำนาจ และดำรงอยู่ในสถานะผู้ถูกครอบงำอย่างสมบูรณ์

1. การสร้างความกลัว: รัฐทรราชจะใช้กฎหมายที่รุนแรงหรือกลไกปราบปรามที่เป็นภัยคุกคามต่อชีวิตและสิทธิเสรีภาพของประชาชน การข่มขู่ด้วยการจำคุก การข่มเหง การจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ทำให้ประชาชนต้องเงียบงันและยอมจำนน

2. การสร้างความแตกแยก: ปลูกฝังความแตกแยกในด้านเชื้อชาติ ศาสนา ชนชั้น หรืออุดมการณ์ทางการเมืองเพื่อให้ประชาชนหันมาต่อสู้กันเอง แทนที่จะร่วมมือกันท้าทายอำนาจทรราช การกระทำเช่นนี้ทำให้พลังของสังคมถูกทำลายและกีดขวางความสามัคคีในการต่อสู้เพื่อสิทธิของตนเอง

3. การทำให้สับสน: การสร้างอุดมการณ์ที่ขัดแย้งกัน หรือการเปลี่ยนแปลงนโยบายและแนวคิดตามแต่สถานการณ์เพื่อประโยชน์ของชนชั้นปกครอง ทำให้ประชาชนขาดทิศทาง และไม่สามารถรู้ได้ว่าอะไรคือความถูกต้องหรือความเป็นธรรม

4. การสร้างระบบอุปถัมภ์: ระบบเศรษฐกิจและสังคมที่ประชาชนต้องพึ่งพาอำนาจรัฐเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในการทำให้ประชาชนตกอยู่ในสภาพยอมจำนน พวกเขาไม่มีทางเลือกที่จะเติบโตหรือมีอิสระได้ เพราะอำนาจรัฐครอบงำทุกมิติของชีวิต

5. การควบคุมการศึกษา: รัฐทรราชมักควบคุมการศึกษาให้สอนในลักษณะที่ปิดกั้นการคิดอย่างเป็นอิสระ เน้นการยอมรับอุดมการณ์ที่ชนชั้นปกครองส่งเสริม และทำให้การวิพากษ์วิจารณ์ถูกมองว่าเป็นภัยต่อสังคม

6. การสร้างความเฉื่อยชาและการเพิกเฉยทางการเมือง: ชนชั้นปกครองสร้างสภาพแวดล้อมที่ประชาชนรู้สึกว่าตนไม่มีพลังและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทำให้เกิดการเพิกเฉยทางการเมืองอย่างแพร่หลาย ประชาชนจึงไม่สนใจที่จะมีส่วนร่วมในกระบวนการประชาธิปไตย

7. การควบคุมเศรษฐกิจ: ระบบเศรษฐกิจที่ปิดโอกาสให้ประชาชนแข่งขันอย่างเสรี ถูกออกแบบให้ชนชั้นปกครองสามารถผูกขาดความมั่งคั่งและทรัพยากรได้ ประชาชนจึงต้องพึ่งพารัฐในทุกด้าน ทำให้ไม่สามารถหลุดพ้นจากความยากจนหรือกดขี่ทางเศรษฐกิจได้

8. การบิดเบือนประวัติศาสตร์: ชนชั้นปกครองปรับแต่งประวัติศาสตร์เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของตนเอง ปิดบังความล้มเหลวหรือการกระทำที่ผิดพลาด ส่งผลให้ประชาชนขาดความเข้าใจที่ถูกต้องในอดีต และไม่สามารถตระหนักถึงสิทธิที่ตนควรจะมี

9. การควบคุมข้อมูลข่าวสาร: ข้อมูลที่บิดเบือนหรือข่าวสารที่ถูกปิดกั้นทำให้ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงความจริง และเชื่อในสิ่งที่ชนชั้นปกครองต้องการให้เชื่อได้อย่างง่ายดาย

10. การใช้เทคโนโลยีและสื่อสมัยใหม่เพื่อควบคุมจิตใจ: ด้วยการใช้โซเชียลมีเดียและเครื่องมือสื่อสารสมัยใหม่ รัฐทรราชสามารถควบคุมการไหลเวียนของข้อมูล ปลูกฝังความเชื่อผิดๆ และบิดเบือนความจริงในลักษณะที่ซับซ้อนและยากที่จะตรวจสอบได้

ตื่นเถิดชาวไทย จงรวมพลังกันตื่นรู้และลุกขึ้นท้าทายชนชั้นทรราชที่ครอบงำทั้งความคิด จิตวิญญาณ และเสรีภาพของพวกท่าน เราทุกคนต้องไม่ยอมตกเป็นเหยื่อของความกลัวและการครอบงำ จงเรียนรู้สิทธิของตนเอง รวมพลังเพื่อความเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง ท้าทายอำนาจเถื่อนและปลดปล่อยประเทศให้เป็นของประชาชนอย่างแท้จริง

Saturday, October 19, 2024

ส่วยในสังคมไทย: ฝังรากลึกอย่างยาวนาน


ธุรกิจที่ถูกกฎหมายเป็นส่วนใหญ่ แต่มีการส่งส่วยไปยังบุคคลที่มีอิทธิพลหรือราชสำนักเพื่อได้รับประโยชน์ทางเศรษฐกิจและอำนาจนั้น มักเกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจที่ต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากผู้มีอำนาจในการได้มาซึ่งทรัพยากร, การผูกขาด, หรือการหลีกเลี่ยงกฎหมายในบางประการ แม้ธุรกิจเหล่านี้จะดำเนินการถูกกฎหมายเป็นหลัก แต่การส่งส่วยมักเกิดขึ้นเพื่อเสริมสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและการเข้าถึงทรัพยากรสำคัญต่าง ๆ

ตัวอย่างการส่งส่วยในธุรกิจถูกกฎหมายส่วนใหญ่
1. ธุรกิจสัมปทานและโครงสร้างพื้นฐาน

บริษัทที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สร้างทางด่วน, สะพาน, หรือโครงการสาธารณะต่าง ๆ มักต้องประมูลหรือได้รับสัมปทานจากรัฐ การได้รับสัมปทานเหล่านี้มีการแข่งขันสูงและบางครั้งมีการใช้เส้นสายในการประสานงานกับผู้มีอิทธิพลทางการเมืองหรือราชสำนัก การส่งส่วยหรือของขวัญล้ำค่าให้กับผู้มีอำนาจจึงอาจเป็นหนึ่งในวิธีที่ใช้ในการรับประกันว่าธุรกิจจะได้รับสัญญาโครงการ

2. ธุรกิจผูกขาดหรือผูกสิทธิพิเศษในอุตสาหกรรม

บริษัทที่ได้รับสิทธิพิเศษในการประกอบธุรกิจ เช่น การค้าขายสุรา การทำเหมืองแร่ หรือการจัดการพลังงานไฟฟ้า มักจะต้องพึ่งพาความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจ โดยเฉพาะในกรณีที่มีการควบคุมทรัพยากรที่รัฐเป็นเจ้าของ การส่งส่วยหรือจ่ายเงินให้กับบุคคลในตำแหน่งสูงที่เกี่ยวข้องกับการอนุมัติหรือออกใบอนุญาตในการทำธุรกิจเหล่านี้เป็นวิธีหนึ่งที่บริษัทอาจใช้เพื่อรักษาสถานะหรือสิทธิ์ในการดำเนินธุรกิจต่อไป

3. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการพัฒนาเมือง

การพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ เช่น การสร้างหมู่บ้าน คอนโดมิเนียม หรือโครงการจัดสรรที่ดิน มักต้องมีการได้รับอนุญาตจากหน่วยงานต่าง ๆ ในท้องถิ่นและส่วนกลาง การได้รับที่ดินในทำเลดีและผ่านการอนุมัติจากหน่วยงานรัฐอาจทำได้ง่ายขึ้นหากมีการส่งส่วยหรือให้ผลประโยชน์กับผู้มีอิทธิพลหรือราชสำนักที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการตัดสินใจเรื่องเหล่านี้

4. ธุรกิจสื่อสารและโทรคมนาคม

ในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมและการสื่อสาร ธุรกิจใหญ่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประมูลคลื่นความถี่หรือสัมปทานเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ มักมีการแข่งขันกันสูง การได้สิทธิ์ในการประมูลเหล่านี้อาจมีการใช้เส้นสายทางการเมือง หรือการให้ผลประโยชน์ส่วนตัวแก่บุคคลที่มีอำนาจในการอนุมัติและควบคุมคลื่นความถี่

5. ธุรกิจสื่อและบันเทิง

ธุรกิจสื่อมวลชนที่ต้องอาศัยการสนับสนุนจากรัฐบาลหรือผู้มีอำนาจ เช่น การอนุญาตให้ถ่ายทอดสดช่องทีวีหรือสื่อวิทยุ อาจมีการส่งส่วยหรือสนับสนุนทางการเงินให้กับผู้มีอำนาจเพื่อให้ได้รับใบอนุญาตหรือโอกาสในการทำธุรกิจ

ตัวอย่างการส่งส่วยจากธุรกิจถูกกฎหมาย
• การประมูลโครงการพัฒนาทางด่วนในกรุงเทพฯ
บริษัทเอกชนที่ได้รับสัญญาจากรัฐบาลมักจะต้องจ่ายเงินส่วนหนึ่งให้กับข้าราชการระดับสูงหรือบุคคลที่มีอำนาจ ซึ่งบางครั้งอาจเป็นผู้ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับราชสำนัก เพื่อให้มั่นใจว่าการประมูลจะไม่ถูกรบกวนหรือแข่งขันจากคู่แข่ง

• การอนุมัติโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์บางรายต้องจ่ายเงินหรือมอบของขวัญให้กับเจ้าหน้าที่ในระดับท้องถิ่นหรือระดับสูงที่มีบทบาทในการอนุมัติแผนผังเมืองหรือการจัดสรรที่ดิน เพื่อให้โครงการของตนได้รับอนุมัติเร็วขึ้น

• การได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการสื่อสารโทรคมนาคม
บริษัทโทรคมนาคมอาจต้องจ่ายเงินให้กับผู้มีอำนาจที่ใกล้ชิดกับหน่วยงานของรัฐหรือราชสำนัก เพื่อให้แน่ใจว่าจะได้สิทธิ์ในการใช้คลื่นความถี่หรือขยายธุรกิจไปในพื้นที่ที่มีการแข่งขันสูง
แม้ธุรกิจเหล่านี้จะดำเนินการตามกฎหมายเป็นส่วนใหญ่ แต่การส่งส่วยให้กับบุคคลในอำนาจหรือราชสำนักเป็นวิธีหนึ่งในการเสริมสร้างความได้เปรียบทางการค้า

การบูชาเงินตราและไอดอลจอมปลอม: วิกฤตศีลธรรมในสังคมไทย



ในปัจจุบันสังคมไทยได้เข้าสู่ยุคแห่งการบูชาเงินตราและไอดอลจอมปลอม โดยสิ่งที่มักถูกใช้ในการตัดสินคุณค่าของคนไม่ใช่คุณธรรม ความเมตตา หรือความดีงามอีกต่อไป แต่กลับเป็นความร่ำรวย ความสำเร็จทางวัตถุ ความสวยงาม และสถานะทางสังคมที่แสดงออกผ่านรถหรู บ้านหลังใหญ่ การแต่งตัวหรูหรา และการมีคนรับใช้มากมาย สิ่งเหล่านี้กลายเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จในสายตาของสังคมไทย และนำไปสู่การหลงทางในเรื่องคุณค่าของมนุษย์


การบูชาเงินตรา: เงินกลายเป็นพระเจ้า


เมื่อเงินตราถูกยกย่องเป็นสิ่งสูงสุด คนที่มีเงินมากจึงกลายเป็นที่เคารพบูชาในสังคม คนรวยถูกมองเป็น “เทวดา” และได้รับความเคารพนับถือไม่ใช่เพราะจิตใจที่งดงามหรือความเสียสละเพื่อส่วนรวม แต่เพียงเพราะความสามารถในการครอบครองทรัพย์สิน สิ่งนี้สร้างค่านิยมที่ผิดพลาดในสังคม ทำให้คนไทยจำนวนมากเชื่อว่าการมีชีวิตที่ดีหมายถึงการสะสมทรัพย์สิน และส่งเสริมความคิดที่ว่าใครมีมากกว่าคนนั้นย่อมดีกว่า ทำให้คุณค่าทางจิตใจและศีลธรรมถูกละเลย


ไอดอลจอมปลอม: ความงามเปลือกนอกและภาพลวงตา


การสร้างภาพลวงตาของความสมบูรณ์แบบทางกายและวัตถุกลายเป็นวัฒนธรรมใหม่ ไอดอลที่ได้รับความนิยมในสังคมปัจจุบันไม่ใช่บุคคลที่สร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคมหรือทำประโยชน์เพื่อผู้อื่น แต่เป็นผู้ที่สร้างภาพผ่านสื่อสังคมออนไลน์ด้วยชีวิตที่ดูสมบูรณ์แบบ พวกเขามักจะใช้ชีวิตหรูหรา แสดงให้เห็นว่าตนเองเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ โดยไม่สนใจว่าความสำเร็จนั้นเกิดจากความพยายามหรือความสามารถที่แท้จริงหรือไม่ คนไทยจำนวนมากจึงหลงผิดในการยกย่องคนเหล่านี้เป็นไอดอล โดยมองเพียงสิ่งที่ปรากฏทางสื่อ มากกว่าที่จะสนใจในความดีงามภายในของบุคคล


ผลกระทบต่อสังคม: การเสื่อมทรามทางศีลธรรม


การบูชาเงินตราและไอดอลจอมปลอมได้สร้างผลกระทบร้ายแรงต่อสังคมไทย หนึ่งในนั้นคือการเสื่อมทรามทางศีลธรรม คนในสังคมถูกสอนให้เชื่อว่าเงินคือคำตอบของทุกสิ่ง ทำให้เกิดความโลภ การแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม และการละเลยความทุกข์ของผู้อื่น สังคมเริ่มขาดความเมตตาและการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การมองคนเพียงที่เปลือกนอกทำให้เราพลาดโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมายและยั่งยืน การละเลยความดีงามภายในทำให้สังคมตกเป็นเหยื่อของความเห็นแก่ตัวและความโหดร้าย


จงคืนคุณค่าให้กับความดีงาม


ถึงเวลาแล้วที่สังคมไทยต้องหันกลับมาทบทวนถึงคุณค่าที่แท้จริงในชีวิต เราต้องตระหนักว่าความร่ำรวยและความสำเร็จทางวัตถุไม่ใช่สิ่งที่ควรใช้ในการตัดสินคุณค่าของคน มนุษย์ควรได้รับการยกย่องในความดี ความมีน้ำใจ และการทำประโยชน์เพื่อส่วนรวมมากกว่าการสะสมทรัพย์สิน ควรจะมีการส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่เรียนรู้ที่จะเคารพผู้อื่นไม่ใช่จากสิ่งที่เขามี แต่จากสิ่งที่เขาเป็น และจากสิ่งที่เขาสามารถมอบให้แก่สังคม



ทุกวันนี้ เราจะเห็นได้ว่าการบูชาเงินตราและไอดอลจอมปลอมเป็นภัยคุกคามต่อศีลธรรมและความดีงามของสังคมไทย หากเราต้องการให้สังคมก้าวไปข้างหน้าอย่างมีความหมายและยั่งยืน เราจำเป็นต้องกลับมามองและให้ความสำคัญกับคุณค่าทางจิตใจ ความเมตตา และการเสียสละเพื่อผู้อื่น การสร้างสังคมที่มีความยุติธรรมและเอื้ออาทรจะทำให้เราเป็นคนที่มีความสุขและเป็นที่นับถืออย่างแท้จริง

Tuesday, September 3, 2024

Internal Factors Leading to the Abolition of Monarchies: A Deep Dive into Royal Behaviors, Lifestyles, and Deeds


Introduction


The abolition of monarchies worldwide can be attributed not only to external forces like wars, revolutions, and economic changes but also to the internal dynamics within these monarchies. The behaviors, lifestyles, and actions of monarchs themselves often played a significant role in alienating their subjects, fueling resentment, and ultimately leading to their downfall. This report examines these internal factors, shedding light on how royal excesses, misgovernance, corruption, and detachment from the populace contributed to the eradication of monarchies.


1. Extravagance and Lavish Lifestyles


1.1. Financial Mismanagement and Opulence


French Monarchy (Bourbon Dynasty): The French monarchy under Louis XVI and his predecessors epitomized extravagance. The construction of the Palace of Versailles, costly wars, and the lavish lifestyle of the royal court drained the treasury, leading to widespread poverty and resentment among the populace. Marie Antoinette’s alleged statement, “Let them eat cake,” though likely apocryphal, symbolized the monarchy’s detachment from the suffering of the common people. This financial irresponsibility was a key factor in sparking the French Revolution.

Russian Monarchy (Romanov Dynasty): The Romanovs, especially under Nicholas II, lived in extraordinary luxury while the majority of Russians lived in poverty. The contrast between the opulence of the Winter Palace and the dire conditions of peasants and workers fueled revolutionary sentiments. The Tsar’s failure to address the economic hardships and the suffering caused by World War I exacerbated public anger, leading to the Russian Revolution and the eventual execution of the royal family.


1.2. Disconnect from the Populace


Ethiopian Monarchy (Haile Selassie): Emperor Haile Selassie’s detachment from his people, particularly during the 1973 famine, played a significant role in the monarchy’s downfall. While millions suffered, the emperor continued to live in luxury, which was starkly contrasted by international media. This detachment from the harsh realities faced by the people led to widespread protests and ultimately the abolition of the monarchy in 1974.


2. Autocratic Rule and Political Repression


2.1. Resistance to Democratic Reforms


French Monarchy: The refusal of Louis XVI to implement meaningful reforms and his attempts to suppress revolutionary ideas through censorship and military force alienated the burgeoning middle class and intellectuals. His indecision and autocratic tendencies contributed to the radicalization of the revolution, leading to the monarchy’s downfall.

Russian Monarchy: Nicholas II’s autocratic rule, characterized by the refusal to share power with the Duma (parliament), repression of political dissent, and the use of secret police (Okhrana) to silence opposition, created a climate of fear and resentment. The Tsar’s inability to recognize the need for reform and his reliance on oppressive measures directly led to the 1917 revolution.


2.2. Brutality and Use of Force


Iranian Monarchy (Pahlavi Dynasty): Mohammad Reza Shah’s use of the SAVAK (secret police) to brutally suppress dissent, imprison political opponents, and control the media fostered deep-seated anger among Iranians. The Shah’s autocratic rule and the violent crackdown on protests during the 1978-79 Iranian Revolution were pivotal in the monarchy’s collapse.


3. Corruption and Moral Decay


3.1. Scandals and Immorality


British Monarchy (Edward VIII): Although the British monarchy has largely survived, the abdication of Edward VIII in 1936 was a significant moment in its history. Edward’s scandalous relationship with Wallis Simpson, an American divorcée, and his perceived neglect of royal duties in favor of personal pleasure, led to a constitutional crisis. Although this did not result in the abolition of the monarchy, it highlighted how personal scandals could threaten the institution.

Belgian Monarchy (Leopold III): King Leopold III’s controversial actions during World War II, including his surrender to Nazi Germany and alleged collaboration, severely damaged his reputation. After the war, his perceived betrayal of Belgium led to a crisis, and he was forced to abdicate in 1951. This incident showcased how moral decay and controversial actions could erode public trust in the monarchy.


3.2. Nepotism and Corruption


Nepalese Monarchy: The Nepali monarchy’s downfall was partly due to widespread corruption and nepotism within the royal family. King Gyanendra’s authoritarian rule, marked by corruption and the centralization of power, alienated both the public and political elites. The 2001 royal massacre, in which most of the royal family was killed, further destabilized the monarchy, leading to its abolition in 2008.


4. Failure to Adapt to Changing Times


4.1. Resistance to Modernization


Austro-Hungarian Monarchy (Habsburg Dynasty): The Habsburgs’ refusal to modernize and address the rising demands for national self-determination within their multi-ethnic empire contributed to its downfall. The monarchy’s inability to reform and adapt to the growing nationalist movements led to the empire’s disintegration after World War I.


4.2. Inability to Address Social and Economic Issues


Chinese Monarchy (Qing Dynasty): The Qing Dynasty’s failure to modernize and effectively address social and economic challenges, including the Opium Wars, internal rebellions, and economic stagnation, led to its downfall in 1912. The inability of the monarchy to respond to the demands for modernization and reform culminated in the Xinhai Revolution and the establishment of the Republic of China.


5. Succession Crises and Internal Conflicts


5.1. Succession Crises


Ottoman Monarchy: The Ottoman Empire experienced several succession crises, where weak or incompetent rulers ascended to the throne, leading to internal strife and weakening the empire. The constant power struggles within the royal family and the inability to maintain a stable succession undermined the monarchy, contributing to its eventual dissolution after World War I.

Portuguese Monarchy (Braganza Dynasty): The Portuguese monarchy faced a succession crisis in the late 19th century, culminating in the assassination of King Carlos I and his heir in 1908. The subsequent weak leadership and internal conflicts within the royal family led to the Republican revolution of 1910 and the abolition of the monarchy.


5.2. Family Feuds and Infighting


Nepalese Monarchy: The infamous royal massacre of 2001, where Crown Prince Dipendra allegedly killed several members of the royal family before committing suicide, highlighted the deep internal conflicts within the Nepali monarchy. This tragic event severely weakened the monarchy’s credibility and hastened its eventual abolition in 2008.


Conclusion


The abolition of monarchies worldwide was often precipitated by the monarchs themselves through their behaviors, lifestyles, and actions. Extravagance, corruption, political repression, failure to modernize, and internal conflicts created environments ripe for revolution or reform. Monarchs who failed to recognize the changing tides of political and social expectations often found themselves overthrown, with their once-powerful dynasties relegated to the pages of history. The internal factors explored in this report provide a deeper understanding of how the actions and lifestyles of monarchs contributed to the decline of their thrones.




Wednesday, August 28, 2024

ศึกหลายหน้าของทักษิณ ชินวัตร: การกลับมาสู่การเมืองไทยและการเผชิญหน้ากับความท้าทายที่ซับซ้อน


การกลับมาของ ดร. ทักษิณ ชินวัตร สู่เวทีการเมืองไทยหลังจากการลี้ภัยยาวนาน 15 ปี เป็นเหตุการณ์ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงและเพิ่มความซับซ้อนให้กับการเมืองไทยในยุคปัจจุบัน โดยการกลับมาครั้งนี้ทักษิณต้องเผชิญหน้ากับศึกหลายด้าน ทั้งในแง่กฎหมาย การเมือง และเศรษฐกิจ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีความท้าทายที่อาจส่งผลต่ออนาคตของเขาและพรรคเพื่อไทยที่เขาก่อตั้ง


การกลับมาที่ซับซ้อนและข้อตกลงที่ถูกกล่าวหา


เมื่อทักษิณเดินทางกลับไทยในเดือนสิงหาคม 2023 หลังจากลี้ภัยเนื่องจากคดีทุจริตและใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่ผิด เขาได้รับการตัดสินจำคุก 8 ปี แต่ได้รับการลดโทษจากพระราชทานอภัยโทษจนไม่ต้องเข้าคุกแม้แต่วันเดียว การปฏิบัติต่อทักษิณอย่างนุ่มนวลนี้ทำให้เกิดข้อสงสัยในสังคมว่าอาจมีข้อตกลงลับระหว่างทักษิณและเครือข่ายผู้มีอำนาจในประเทศไทย ซึ่งทักษิณได้ปฏิเสธว่าไม่มีข้อตกลงเช่นนั้น แต่ความสงสัยยังคงอยู่ในสังคมไทยว่าการกลับมาครั้งนี้มีการแลกเปลี่ยนบางอย่าง  .


บทบาทหลังจากการกลับมา: อิทธิพลในพรรคเพื่อไทยและความเสี่ยงทางกฎหมาย


แม้ทักษิณจะไม่ได้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองใด ๆ ในรัฐบาลที่นำโดยลูกสาวของเขา แพทองธาร ชินวัตร แต่ก็เป็นที่รู้กันว่าเขายังคงมีอิทธิพลอย่างมากต่อการบริหารงานของรัฐบาลนี้ ซึ่งนำไปสู่ความเสี่ยงทางกฎหมาย เนื่องจากกฎหมายไทยห้ามมิให้บุคคลภายนอกเข้ามาควบคุมหรือมีอิทธิพลต่อพรรคการเมือง หากมีหลักฐานชัดเจนว่าทักษิณมีบทบาทในการตัดสินใจของพรรคเพื่อไทย อาจส่งผลให้พรรคถูกยุบ ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อสถานะทางการเมืองของครอบครัวชินวัตร .


นโยบายการเงินและเศรษฐกิจ: การพยายามฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย


ทักษิณได้ผลักดันนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทให้กับประชาชน 50 ล้านคน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญที่ใช้หาเสียงในเลือกตั้งที่ผ่านมา นโยบายนี้ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากนักเศรษฐศาสตร์และธนาคารแห่งประเทศไทยว่าอาจไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้อย่างยั่งยืน แต่ทักษิณยังคงยืนกรานว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วนเป็นสิ่งจำเป็น .


ความเสี่ยงทางกฎหมายเพิ่มเติมและการเป็น “ตัวประกันทางการเมือง”


นอกจากคดีทุจริตที่ทักษิณเคยเผชิญ ยังมีคดีมาตรา 112 ที่ยังไม่สิ้นสุด ซึ่งเกิดจากการให้สัมภาษณ์กับสื่อเกาหลีใต้ในปี 2015 คดีนี้ยังคงเป็นภัยคุกคามทางกฎหมายที่อาจส่งผลต่ออนาคตทางการเมืองของเขาและพรรคเพื่อไทย ความเสี่ยงนี้ทำให้ทักษิณกลายเป็นเหมือน “ตัวประกันทางการเมือง” ที่ต้องทำงานร่วมกับกลุ่มอนุรักษ์นิยมเพื่อรักษาสถานะของตนเองและครอบครัว  .


ข้อสรุป: อนาคตที่ไม่แน่นอนของทักษิณและพรรคเพื่อไทย


การกลับมาของทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้เป็นเพียงการหวนคืนสู่เวทีการเมือง แต่เป็นการกลับมาท้าทายกับความเสี่ยงที่ซับซ้อนและหลากหลาย ทักษิณต้องเผชิญหน้ากับศึกหลายด้าน ทั้งในแง่กฎหมาย การเมือง และเศรษฐกิจ การที่เขายังคงพยายามมีบทบาทในรัฐบาลผ่านทางลูกสาว ทำให้อนาคตของเขาและพรรคเพื่อไทยยังคงไม่แน่นอน การต่อสู้ในครั้งนี้อาจนำไปสู่ความสำเร็จหรือความล้มเหลวครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย.


ความขัดแย้งและการเปลี่ยนแปลงของพันธมิตรในยุคทักษิณ ชินวัตร


การกลับมาของ ดร. ทักษิณ ชินวัตร ในเวทีการเมืองไทยหลังจากการลี้ภัยยาวนาน ไม่เพียงแต่ทำให้เขาต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ ๆ แต่ยังทำให้เกิดความขัดแย้งและการเปลี่ยนแปลงในกลุ่มพันธมิตรทางการเมืองของเขาอีกด้วย


ความขัดแย้งกับพันธมิตรเก่า


ทักษิณเคยเป็นนักการเมืองที่มีอิทธิพลอย่างมากในกลุ่มพันธมิตรหลายกลุ่ม ทั้งในกลุ่มนักการเมืองท้องถิ่นและผู้นำกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง และบิ๊กแจ๊ส คำรณวิทย์ ซึ่งเคยเป็นพันธมิตรที่สนับสนุนทักษิณในช่วงเวลาที่เขายังมีอำนาจทางการเมือง


อย่างไรก็ตาม การกลับมาของทักษิณในครั้งนี้ได้นำไปสู่ความขัดแย้งกับพันธมิตรเก่าเหล่านี้ ซึ่งเกิดจากการที่ทักษิณเลือกที่จะประนีประนอมกับกลุ่มอำนาจเก่า เช่น เครือข่ายกษัตริย์และทหาร โดยเฉพาะกลุ่มที่เคยมีบทบาทในการขับไล่ทักษิณออกจากอำนาจในปี 2006 การผูกมิตรกับกลุ่มอำนาจเก่านี้ทำให้ผู้ที่เคยสนับสนุนทักษิณในนามคนเสื้อแดง รวมถึงพันธมิตรเก่า ๆ รู้สึกถูกทรยศและผิดหวัง เนื่องจากการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงในอดีตเกิดขึ้นจากความไม่พอใจต่ออำนาจเผด็จการที่มาจากการรัฐประหาร ซึ่งทักษิณก็เคยเป็นผู้ที่ยืนเคียงข้างกลุ่มนี้ในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย


การเปลี่ยนแปลงพันธมิตรทางการเมือง


ทักษิณเลือกที่จะปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการรักษาอำนาจ โดยการผูกมิตรกับกลุ่มอนุรักษ์นิยมและกลุ่มทหาร เพื่อให้ตนเองและครอบครัวมีที่มั่นทางการเมืองที่ปลอดภัยมากขึ้น การกระทำดังกล่าวทำให้เขาได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มอนุรักษ์นิยมบางกลุ่ม แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้เขาสูญเสียความไว้วางใจจากพันธมิตรเก่าที่เคยสนับสนุนเขามาก่อน


การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของการเมืองไทยในยุคปัจจุบัน ที่ความสัมพันธ์ระหว่างนักการเมืองและพันธมิตรมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และทักษิณเองก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป


ผลกระทบต่อทักษิณและพรรคเพื่อไทย


ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้สถานะของทักษิณในกลุ่มพันธมิตรเดิมอ่อนแอลง และทำให้พรรคเพื่อไทยเผชิญกับความท้าทายทางการเมืองที่มากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงที่การประนีประนอมกับกลุ่มอนุรักษ์นิยมและทหารอาจส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของทักษิณและพรรคในสายตาของประชาชนและผู้สนับสนุนเดิม ซึ่งอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่คาดไม่ถึงในอนาคต


ข้อสรุป


การกลับมาของทักษิณ ชินวัตร ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในความสัมพันธ์ทางการเมืองของเขากับพันธมิตรเดิม และทำให้เกิดความขัดแย้งใหม่ ๆ ที่ซับซ้อน ทักษิณต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่เขาต้องรักษาความสมดุลระหว่างการผูกมิตรกับกลุ่มอำนาจเก่าและการรักษาความสัมพันธ์กับพันธมิตรเดิม เพื่อให้เขายังคงมีอิทธิพลทางการเมืองและสามารถป้องกันตัวเองจากความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต.