1) พิมพ์เขียวของการ “บอนไซ”
แนวคิด “เครือข่ายราชาธิปไตย” (network monarchy) ของ Duncan McCargo อธิบายโครงสร้างอำนาจที่ไม่ใช่แค่ตัวสถาบัน แต่คือเครือข่ายองคมนตรี ข้าราชการระดับสูง ศาล และกองทัพที่แทรกตัวในนโยบาย–ตุลาการ–ความมั่นคง เพื่อคานหรือกำกับรัฐบาลจากการเลือกตั้ง
2) เครื่องมือที่ใช้ตัดแต่งประชาธิปไตย
-
รัฐประหารซ้ำ: 19 ก.ย. 2549 โค่นรัฐบาลทักษิณ; 22 พ.ค. 2557 โค่นรัฐบาลยิ่งลักษณ์—ตอกย้ำวัฏจักรอำนาจนอกระบบ ทั้งยังสะสม “ทุนสถาบัน” ให้เครือข่ายเดิมกลับมากำหนดกติกาใหม่ได้เสมอ
ไทยมี ความพยายามรัฐประหารกว่า 20 ครั้ง และสำเร็จราว 13 ครั้ง นับแต่ 2475—สูงสุดประเทศหนึ่งของโลกสมัยใหม่
-
รัฐธรรมนูญแบบวางกับดัก: ฉบับ 2560 เปิดทาง วุฒิสภาแต่งตั้ง 250 คน ร่วมโหวตนายกฯ แม้แพ้เสียงประชาชนในสภาผู้แทนฯ ทำให้การจัดตั้งรัฐบาลเอนเข้าขั้วอนุรักษนิยมต่อเนื่อง
-
ตุลาการภิวัฒน์: นายกฯ สมัคร สุนทรเวช ถูกศาลวินิจฉัยพ้นตำแหน่งกรณีรายการทำอาหาร (9 ก.ย. 2551); ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถูกศาลสั่งพ้นจากตำแหน่ง (7 พ.ค. 2557) ฐานโยกย้ายนายข้าราชการความมั่นคง—การเมืองจึง “เปลี่ยนนายกฯ ทางศาล” บ่อยครั้ง
-
วัตถุพยานชั้น “ยุบพรรค”: ยุบไทยรักษาชาติ (มี.ค. 2562); ยุบอนาคตใหม่ (ก.พ. 2563); และ ยุบก้าวไกล (7 ส.ค. 2567) จากนโยบายแก้ ม.112—รูปแบบซ้ำที่ทำให้ “พรรคใหญ่จากคะแนนประชาชน” ตกขอบสนามซ้ำแล้วซ้ำเล่า
-
กฎหมายหมิ่นฯ (ม.112) เป็นคมกรรไกร: ตั้งแต่ 2563–2567 มี อย่างน้อย 304 คดี ตามส統 TLHR; ผู้ถูกดำเนินคดีรวมคดีการเมืองเกือบ 2,000 คน/1,300 คดี สะท้อนการใช้ด่านอาญาคุมเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุม
-
การใช้กำลัง/ปล่อยให้พ้นผิด: เหตุสลายการชุมนุมเม.ย.–พ.ค. 2553 มีผู้เสียชีวิตหลายสิบราย แต่การนำผู้มีอำนาจขึ้นรับผิดชอบไม่คืบหน้า—สิ่งที่องค์กรสิทธิมนุษยชนเรียกว่า “วงจรลอยนวลพ้นผิด”
3) เส้นเรื่อง 19 ปี: จุดใหญ่ ๆ ที่เชื่อมอดีต–ปัจจุบัน
-
รัฐประหาร 2549 เปลี่ยนโครงอำนาจ–รีเซ็ตกติกา (ยกรธน.ใหม่) เปิดทางการเมืองภายใต้ร่มเครือข่ายเดิมกลับมาคุมเกม, และ “ราชทหาร” กลายเป็นตัวแสดงนำอีกครั้ง
-
2008–2014: ศาลการเมือง—สมัครพ้นเพราะ “พิธีกรทำกับข้าว”; 2557 ศาลปลด ยิ่งลักษณ์ และไม่กี่วันต่อมาทหารยึดอำนาจ ย้ำบทบาท “ศาล–ทหาร” เป็นคานการเมืองเลือกตั้ง
-
เลือกตั้ง 2562: เพื่อไทยได้ ส.ส.มากสุด 136 แต่ตั้งรัฐบาลไม่ได้ ขณะที่พลังประชารัฐได้ 116 ที่นั่งและได้เสียงจากวุฒิสภาแต่งตั้งช่วยโหวตนายกฯ—ชี้ชัด “กติกาเอียง”
-
ยุบอนาคตใหม่ 2563: ปลดล็อกขั้วฝ่ายก้าวหน้าด้วยเครื่องมือกฎหมายการเงินพรรค ควบคู่ยุทธศาสตร์ “เสียงข้างมากในสภา–เสียงข้างน้อยในอำนาจจริง”
-
เลือกตั้ง 2566: ก้าวไกลชนะมากสุด แต่ถูก วุฒิสภาแต่งตั้ง ขัดขวางการโหวตนายกฯ จนนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลโดยพรรคอันดับสองแทน
-
วินิจฉัย ม.ค. 2567: ศาลสั่งก้าวไกล “เลิกผลักดันแก้ ม.112”—เปิดประตูสู่การ ยุบก้าวไกล (ส.ค. 2567) ในที่สุด; เป็นหมุดหมายที่ทำให้ “นโยบาย” กลายเป็น “ความผิด” ทางรัฐธรรมนูญได้
-
กันยา 2568: ศาลวินิจฉัยว่า ต้องทำประชามติ 3 ครั้ง หากจะยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่—ยืนยัน ‘กติกาเข้ม’ ต่อการปฏิรูปเชิงโครงสร้างผ่านเจตจำนงประชาชนโดยตรง
-
สิงหา 2568: ศาลปลด แพทองธาร ชินวัตร จากนายกฯ ด้วยเหตุผิดจริยธรรมจากสายตรงกับ ฮุน เซน—ต่อจิ๊กซอว์ “การคุมฝ่ายการเมืองผ่านตุลาการ” แบบต่อเนื่องในศตวรรษนี้
4) ภาพรวม “วันนี้”: ตัวเลขที่บอกสภาพโครงสร้าง
-
Freedom House 2024: ไทยขยับจาก “Not Free” เป็น “Partly Free” เพราะมีเลือกตั้งแข่งขันได้มากขึ้น—แต่ยังชี้ว่า วุฒิสภาแต่งตั้งขวางพรรคที่ชนะ ขึ้นเป็นรัฐบาลได้
-
Rule of Law (WJP) 2024: ไทยอยู่อันดับ 78 จาก 142 คะแนนรวม 0.50—ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลกและภูมิภาค สะท้อนปัญหาหลักนิติธรรมเชิงโครงสร้าง
-
เสรีภาพสื่อ (RSF): ปี 2024 ไทยอยู่อันดับ 87/180 และ 85/180 ในปี 2025 RSF ชี้บรรยากาศการเมือง–กฎหมาย (โดยเฉพาะ ม.112) ทำให้สื่อเผชิญแรงกดดันและการเซ็นเซอร์ตัวเองสูง
-
คดีการเมือง–ม.112: อย่างน้อย 1,954 คน/1,299 คดี ตั้งแต่ปี 2563 (รวมทุกข้อหา) และ อย่างน้อย 304 คดี เฉพาะ ม.112—เป็นฐานข้อมูลที่ชี้ภาวะ “อาญาภิวัฒน์” ต่อเสรีภาพอย่างชัดเจน
5) กว้างให้ไกล–ลึกให้ถึง: เพราะอะไร “แรงต้านยิ่งสูง กรรไกรยิ่งคม”
-
สถาบันที่คุมจุดยุทธศาสตร์—กองทัพ, วุฒิสภาแต่งตั้ง, ศาลรัฐธรรมนูญ/องค์กรอิสระ—ถูกออกแบบให้ “คาน” รัฐบาลที่ชนะเลือกตั้งและตั้งกำแพงต่อการปฏิรูป เช่น ยุบพรรคจาก “นโยบาย” หรือกำหนดเงื่อนไขประชามติหลายชั้นในการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่
-
การเมืองเชิงกฎหมาย (lawfare)—ทำให้การต่อสู้ยืดเยื้อในศาล มากกว่าคูหาเลือกตั้ง ส่งผลให้ฝ่ายประชาชนหมดแรง–หมดทุนเร็ว ขณะที่เครือข่ายเดิมมีทรัพยากร–สถาบันรองรับ
-
ความทรงจำแบบ “ลอยนวลพ้นผิด” จาก 2553 ทำให้การใช้กำลัง/คุมสื่อกลับมาได้ง่ายโดยไม่ต้องจ่ายต้นทุนความรับผิดมากนัก
สรุปบทเรียนสำหรับคนไทยที่อยากเห็น “ประชาธิปไตยเต็มใบ”
ที่ผ่านมา “พลาดอะไร/ขาดอะไร”
-
พึ่งผู้นำมากไป–สถาบันน้อยไป: ชนะเลือกตั้งแล้วไม่เร่ง ปลูกสถาบันคานอำนาจ ระดับท้องถิ่น/ชุมชน/สหภาพ/สื่อชุมชน ทำให้โดน “สับคันเร่ง” จากศาล–กองทัพได้ง่าย
-
ปล่อยให้สนามกฎหมายเป็นของอีกฝ่าย: ขาดเครือข่ายทนาย สิทธิมนุษยชน นักกฎหมายรัฐธรรมนูญ ที่ขยายฐานความรู้สู่ประชาชนอย่างเป็นระบบ
-
แนวร่วมแคบ: ติดกับดัก “สองขั้ว” จนไม่สร้างฉันทามติขั้นต่ำร่วมกันเรื่องสิทธิ–ศักดิ์ศรี–กติกายุติธรรม
-
การสื่อสารเชิงข้อมูลไม่ต่อเนื่อง: ไม่มีแดชบอร์ดสาธารณะติดตามคดีการเมือง/สถิติละเมิดสิทธิให้เห็น “ต้นทุนที่ประชาชนจ่ายจริง”
ไม่มีองค์การนำ ไม่มีเครือข่ายที่จับต้องได้ ไม่มีการจัดตั้ง หรือไม่มีองค์การปวงชนที่สามารถรวมพลังปวงชนโดยรวมได้จริง การเคลื่อนไหวจึงเป็นเพียงไฟไหม้ฟางและถูกดับง่าย จนเกือบมอดเป็นช่วง ๆ
ควรทำอย่างไร “ต่อจากนี้”
-
เล่นเกมยาวด้วยสถาบันของประชาชน: สภาองค์กรพลเมืองท้องถิ่น–งบมีส่วนร่วม–สื่อชุมชน–สหภาพวิชาชีพ ทำให้การเมืองไม่ผูกกับบุคคล
-
ยึดกติกา–ตีความกติกา: ลงทุนสร้าง legal capacity (คลินิกกฎหมาย, ทนายอาสา, court-watch) ควบคู่ civic-tech (ฐานข้อมูลคดี 112/การชุมนุมแบบเรียลไทม์) เพื่อเปลี่ยน “สนามศาล” จากจุดอับเป็นจุดได้เปรียบ
-
ขยายแนวร่วมข้ามความเห็น: วาง “ชุดขั้นต่ำร่วม” คือรัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจประชาชนจริง, เลือกตั้งเสรีเป็นวาระแห่งชาติ, หลักนิติธรรม–สิทธิขั้นพื้นฐานที่ไม่ต่อรอง
-
ทำประชาธิปไตยให้จับต้องได้: ผูกโยงกับปากท้อง—จัดทำงบมีส่วนร่วม, สัญญาเลือกตั้งที่ตรวจสอบได้, กลไกถอดถอนผู้บริหารท้องถิ่น–ผู้แทนที่ผิดสัญญา
-
วินัยไม่ใช้ความรุนแรง + ความปลอดภัยดิจิทัล: ลดช่องให้ถูกปราบ–ถูกกล่าวหา และรักษากำลังคนระยะยาว
-
ระหว่างทางสู่รัฐธรรมนูญใหม่: เมื่อศาลบังคับ “ประชามติ 3 ครั้ง” ต้องวางยุทธศาสตร์สารพัดช่องทาง—การสื่อสารสาธารณะ, เครือข่ายลงพื้นที่, พันธมิตรวิชาชีพ—เพื่อให้ประชามติเป็น “เวทีให้กติกาเป็นของประชาชนจริง” ไม่ใช่พิธีกรรมทางกฎหมายอีกชั้น
ใจความสุดท้าย: 19 ปีที่ผ่านมาแสดงชัดว่า ถ้าประชาธิปไตยเป็นแค่ “ต้นไม้กระถาง” ใครก็หยิบกรรไกรมาตัดได้ แต่หากเราปลูก “ราก” ผ่านสถาบันของประชาชน—ศาล–สภา–สื่อ–ชุมชนที่ตอบต่อประชาชน—เครือข่ายใดก็ “บอนไซ” ได้ยากลงเรื่อย ๆ
อ้างอิงหลัก: รัฐประหาร/ไทม์ไลน์ (Reuters) ; ยุบพรรค (Reuters/PBS) ; วุฒิสภาแต่งตั้งและผลต่อการตั้งรัฐบาล (Reuters) ; ตัวเลข ม.112/คดีการเมือง (TLHR) ; เสรีภาพ–นิติธรรม (Freedom House/WJP) ; RSF 2024–25 ; คำวินิจฉัย “ประชามติ 3 ครั้ง” (The Nation/ThaiPBS) ; กรณีปลดนายกฯ แพทองธาร (Reuters) .