อ่านข่าวข้างล่างแล้ว ลองฟังดร.เพียงดิน วิเคราะห์ประเด็นที่เกี่ยวข้องได้ที่
||| ดร.เพียงดิน ชวนคิดชวนลุย 2015-10-24 ตอน "แผนร้าย เบื้องหลังคดีหมอหยองและคณะ "
*************************
http://www.tprud.org มหาวิทยาลัยประชาชน นปช.ยูเอสเอ และเครือข่าย สนับสนุนการเผยแพร่ เพื่อให้ความรู้และตีแผ่ความจริง
เพื่อสร้างสำนึกการปฏิวัติสู่การเป็นประชาธิปไตย ด้วยสันติวิธี
Truth, Peace, Revolution, Universal Human Rights, Democracy
คุ้มครองโดย ภาคีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชน (http://tahr-global.org)
-------------------------------------------------------------------------------------
ขอให้พี่น้องเชื่อมั่นในพลังของมดแดงล้มช้าง... แต่อย่าผลีผลามแสดงตัวให้เขาใช้ความรุนแรงจัดการกับพี่น้อง อย่าทำอย่างย่ามใจ อย่าทำเพื่อสะใจ อย่าหวังผลประโยชน์ และอย่าคิดเด่นดังหรืออิจฉาริษยากัน ภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ หรือ noble mission ในการกู้ชาติ แล้วสร้างชาติใหม่ให้ลูกหลานนี้ เป็นสิ่งที่เราควรภูมิใจร่วมกันอย่างยิ่ง
หากท่านคิดดี หวังดี และมั่นใจในความดีของท่าน ขอให้ปาวารณาตัว ร่วมเป็นมดแดงล้มช้าง ได้ที่
เพื่อร่วมเป็นฐานของการปฏิวัติในอนาคตอันใกล้นี้ และเริ่มต้นทำงานในฐานะมดแดงล้มช้างทันที (ข้อมูลทุกอย่าง เป็นความลับสุดยอด ดร.เพียงดิน รักไทย จะดูแลเองแต่ผู้เดียว และอย่าได้ติดตามลิ้งค์อื่นใด นอกจากลิ้งค์นี้จากเฟสบุ๊คของดร.เพียงดิน และลิ้งค์ที่อยู่ใต้ยูทูปวิดีโอของ มหาวิทยาลัยประชาชน Official เท่านั้น)
+++++++++++++++++++
เนื่องเพราะใครเลยจะคาดคิดว่า หลังคดีของเดอะกิ๊กแล้ว จะมีใครหน้าไหนกล้าในบ้านนี้เมืองนี้แอบอ้างเบื้องสถาบันไปเรียกรับผล ประโยชน์ได้อีก
กองทัพร้องทุกข์ "แก๊งหยอง" เหิม อ้างสถาบันเรียกรับผลประโยชน์
ทั้งนี้ ก่อนหน้าที่ศาลทหารจะมีการออกหมายจับและนำตัวไปฝากขังเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2558 ที่ผ่านมานั้น ข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้เต็มไปด้วยความสับสนและเต็มไปด้วยข่าวลือเรื่องของ หมอดูคนดัง กระทั่งมีความชัดเจนขึ้นเมื่อ พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) ได้ลงนามในคำสั่ง กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ที่ 267/2558 วันที่ 18 ตุลาคม 2558 ย้ายตำรวจ 8 นาย
ประกอบด้วย 1. พ.ต.อ. ศิวพงษ์ พัฒน์พงศ์พานิช รองผู้บังคับการปราบปราม 2. พ.ต.อ. ไพโรจน์ โรจนขจร ผู้กำกับการ 2 กองบังคับการปราบปราม 3. พ.ต.ท. วสุ แสงสุกใส รองผู้กำกับการ 2 กองบังคับการปราบปราม 4. พ.ต.ท. ธรรมวัฒน์ หิรัณยเลขา รองผู้กำกับการ 2 กองบังคับการปราบปราม 5. พ.ต.ท. จีรวัฏฐ์ บุญวัฒนาภรณ์ สารวัตรสถานีตำรวจทางหลวง 2 กองกำกับการ 1 กองบังคับการตำรวจทางหลวง 6. พ.ต.ท. ณัทกฤช พรหมจันทร์ สารวัตร กองกำกับการ 2 กองบังคับการปราบปราม 7. พ.ต.ท. พิทยา กล่ำ เอม สารวัตรกลุ่มถวายงานความปลอดภัย กองบังคับการตำรวจทางหลวง 8. พ.ต.ท. สุวัฒนชัย ศรีทองสุข สารวัตร กองกับการ 1 กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์
สังคมงุนงงว่า ตำรวจเหล่านั้นโดนย้ายด้วยเรื่องอะไร
ถัดจากนั้นไม่นานนัก เรื่องก็มีความชัดเจนขึ้นทีละน้อยในวันรุ่งขึ้นคือวันที่ 19 ตุลาคม 2558 เมื่อ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้ บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ยอมรับว่ามีคำสั่งแต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนในกรณีที่มีบุคคลแอบอ้าง สถาบันเบื้องสูงไปกระทำการมิบังควร ซึ่งเข้าข่ายเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา112 โดยมอบหมายให้ พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้ช่วย ผบ.ตร. ดูแลงานด้านความมั่นคง เป็นหัวหน้าชุดพนักงานสืบสวนสอบสวน และมี พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) เป็นรองหัวหน้าพนักงานสอบสวน
และได้รับการเปิดเผยจาก พล.ต.ท.ศรีวราห์ว่า หน่วยงานที่ร้องทุกข์เรื่องดังกล่าวก็คือ "กองทัพบก" และศาลได้อนุมัติหมายจับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ยังไม่ขอเปิดเผยรายชื่อบุคคล จำนวน และรายละเอียดพฤติการณ์ และแย้มว่าจะนำตัวผู้ต้องหาไปฝากขังในวันที่ 21 ตุลาคม
ขณะที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ได้ยอมรับในเวลาต่อมาว่ามีข้าราชการตำรวจและพลเรือนที่ มีชื่อเสียง ซึ่งปรากฏในสื่อก่อนหน้านี้เข้ามาเกี่ยวข้องจริง
"ผู้ต้องหาคดีนี้ทั้งหมดมีพฤติกรรมชัดเจนว่า แอบอ้างเบื้องสูงในการเรียกรับผลประโยชน์ ซึ่งมีเจ้าทุกข์เป็นกองทัพบกนำข้อมูลมาร้องให้ตำรวจดำเนินคดี"บิ๊กแป๊ะแย้ม รายละเอียดมาทีละน้อย
ต่อมาวันที่ 21 ตุลาคม 2558 ที่ศาลทหารกรุงเทพ กรมพระธรรมนูญ กระทรวงกลาโหม พ.ต.อ.ชยุต มารยาทตร์ รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 6 ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะพนักงานสอบสวนคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูง พร้อมด้วย พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารพระธรรมนูญ นำเอกสารคำร้องมายื่นต่อศาลทหารกรุงเทพ เพื่อขอฝากขังผู้ที่ถูกหมายจับในฐานความผิดคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูงตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ผลัดแรก เป็นระยะเวลา 12 วัน พร้อมทั้งยื่นคำร้องขอศาลทหารกรุงเทพอนุมัติออกหมายจับผู้ที่มีส่วน เกี่ยวข้องเพิ่มเติมด้วยอีก 1 คน
และในที่สุดรายชื่อก็เปิดเผยออกมาว่า ผู้ต้องหาคดีแอบอ้างสถาบันเบื้องสูงเรียกรับผลประโยชน์ที่ศาลทหารออกหมายจับ และขอฝากขังในชุดแรกมีทั้งหมด 3 คนด้วยกันคือ
หนึ่ง-หมอหยอง นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ หมอดูชื่อดัง อายุ 53 ปี
ถูกดำเนินคดีในข้อหา ข้อหา ร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ฯ
สอง-นายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ "อาท ชัตเตอร์มหาเทพ" อายุ 29 ปี คนสนิทของหมอหยอง
ถูกดำเนินคดีในข้อหา ข้อหา ร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ฯ
และสาม-สารวัตรเอี๊ยด พ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา สว.กก.1 บก.ปอท. อายุ 44 ปี
ถูกดำเนินคดีในข้อหา ข้อหา ร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ฯ และข้อหา มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ ในครอบครอง / มีใช้ซึ่งวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต และตั้งวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต / ปลอมเอกสารราชการและใช้เอกสารราชปลอมอีกด้วย
พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผช.ผบ.ตร.ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนเปิดเผยว่า ทั้งสามคนถูกตั้งข้อหาแอบอ้างเบื้องสูง โดยเบื้องต้นทั้ง 3 คนให้การรับสารภาพแล้ว ส่วนหลักฐานและพฤติกรรมที่จะบ่งชี้ความผิดอยู่ในสำนวน ไม่สามารถเปิดเผยได้ รวมทั้งยังมีข้อหาอื่นๆ อีกด้วย เช่น อาวุธสงคราม เป็นต้น
"จากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้งสามคนให้การรับสารภาพ และให้การพาดพิงถึงตำรวจสังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง 8 นาย ที่ถูกสั่งช่วยราชการก่อนหน้านี้ และจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าผู้ต้องหากระทำความผิดมาแล้วไม่ต่ำกว่า 2 เดือน และมีความผิดมากกว่า 1 กรรม และเชื่อว่ามีผู้ร่วมขบวนการอีก และขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบหลักฐานว่ามีความความเชื่อมโยงถึงบุคคลใด บ้าง ก็จะมีการดำเนินคดี และออกหมายจับเพิ่มเติม" พล.ต.ท.ศรีวราห์ให้ข้อมูล
อย่างไรก็ตาม นอกจากจับกุมคุมขังแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจยังได้มีการมีการยึดรถและทรัพย์สินของบุคคลทั้งสามเอาไว้ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นปืน รถ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ วิทยุสื่อสาร เป็นต้น
ทั้งนี้ คดีดังกล่าวสืบเนื่องจาก คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ตรวจพบว่า มีกลุ่มบุคคลร่วมกันกระทำผิดโดยมีพฤติการณ์แอบอ้างหรือ แสดงออกในลักษณะต่างกรรมต่างวาระกัน เพื่อให้ประชาชนหรือบุคคลโดยทั่วไปเข้าใจว่า ตนเองมีความใกล้ชิดกับสถาบันเบื้องสูง และได้เรียกหรือรับผลประโยชน์จากการดำเนินการดังกล่าว รวมทั้งได้กระทำความผิดตามกฎหมายอื่นๆ อีกหลายฐานความผิด การกระทำของกลุ่มบุคคลดังกล่าว ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสถาบันฯ และความเสียหายอื่นๆในวงกว้าง
เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของทหาร ได้ใช้อำนาจตามคำสั่ง คสช.ที่ 3/2558 เรียกตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องมาเพื่อสอบถามข้อมูลและควบคุมตัวไว้ จากการซักถามพบว่ามีมูลกระทำผิดจริงจึงได้มอบหมายให้ พล.ต.วิจารณ์ จดแตง หัวหน้าฝ่ายกฎหมาย คสช. มาแจ้งความร้องทุกข์ ให้ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด ฐาน "หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์" ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112 จากนั้น พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน โดยมี พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวน
อย่างไรก็ตาม นอกจากนายตำรวจสัญญาบัตร 8 นายที่ถูกย้ายฟ้าผ่าไปก่อนหน้านี้แล้ว ในวันที่นำตัว "หมอหยองแอนด์เดอะแก๊ง" ไปขออนุญาตศาลทหารฝากขัง กองปราบปรามก็ได้มีคำสั่งย้ายตำรวจระดับประทวนอีก 5 นายไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการจำนวน 5 นาย ซึ่งคาดว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าว
ประกอบด้วย 1. สิบตำรวจตรี สายชล ศิลาไศล ผู้บังคับหมู่ กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจปราบปราม 2. สิบตำรวจตรี อภิวัฒน์ นาคจีน ผู้บังคับหมู่ กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจปราบปราม 3. สิบตำรวจตรี ราชฤทธิ์ พวงไสว ผู้บังคับหมู่ กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจปราบปราม 4. สิบตำรวจตรี สารัตน์ แก้วดอนโมง ผู้บังคับหมู่ กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจปราบปราม และ 5. สิบตำรวจตรี คมสัน ชงสกุล ผู้บังคับหมู่ กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจปราบปราม
ตีแผ่เส้นทางชีวิต "หยอง-อาท-เอี๊ยด"
กล่าวสำหรับหมอหยองนั้น มีชื่อจริงว่า "สุริยัน สุจริตพลวงศ์" ซึ่งในแวดวงโหราศาสตร์หรือแวดวงหมอดูต่างรู้จักกันดี และหลายคนที่ติดตามแฟนเพจของเขาคงมักคุ้นเคยกับคำพูดที่หมอดูชื่อดังคนนี้ ใช้อยู่เป็นประจำคือคำว่า "จริงใจนะ"
หมอหยองเกิดเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน พื้นเพเป็นคนเมืองตรังโดยกำเนิด สำเร็จการศึกษามัธยมต้นจากโรงเรียนวิเชียรมาตุ อ.เมือง จ.ตรัง ระดับมัธยมปลาย ที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา พญาไท กรุงเทพฯ ระดับปริญญาตรี จบคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ระดับปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยเซนต์มาร์ติน ลอนดอน ด้านการออกแบบโฆษณาและงานประชาสัมพันธ์
เคยเป็นอาจารย์พิเศษสอนวิชาโฆษณาและประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยหลายแห่ง อาจารย์พิเศษสอนวิชาจิตวิทยาและการพัฒนาตนเองให้ประสบความสำเร็จ เป็นผู้บริหารสถาบันพัฒนาการฝึกอบรมชีวิตและคุณภาพ โดยจัดทีมอบรมให้กับหน่วยงาน องค์กร ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อพัฒนาบุคลากร
เคยเป็นกรรมการอำนวยการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ รองเลขาธิการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กรรมการอำนวยการสภาสังคม สงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ สมาชิกกิตติมศักดิ์สมาคมแม่บ้านมหาดไทย เป็นกรรม การบริหารศูนย์ส่งเสริม และประสานงานครอบครัวอบอุ่นและเป็นสุข กระทรวงมหาดไทย ฯลฯ
หมอหยองมีชื่อเสียงในฐานะนักโหราศาสตร์ชื่อดังระดับแนวหน้ามาเป็นเวลานาน
หมอหยองหายหน้าหายตาจากแวดวงสื่อและแวดวงโหราศาสตร์ไปพักใหญ่ หรือถ้าจะใช้คำว่า "ตกสวรรค์" หรือ "ดวงแตก" มาแล้วครั้งหนึ่งก็คงจะไม่ผิดไปจากความจริง กระทั่งกลับมาปรากฏตัวอีกครั้งในฐานะ "ที่ปรึกษาคณะอนุกรรมการฝ่ายจัดงานกิจกรรมพิเศษโครงการ "ไบค์ ฟอร์ มัม"
หลังเสร็จงานหมอหยองได้รับการแต่งตั้งจากสมาคมจักรยานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็น "ประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์" จากนั้นก็ปรากฏตัวตามสื่อต่างๆ เป็นระยะๆ
ก่อนหน้าที่จะถูกออกหมายจับในคดีหมิ่นสถาบัน แอบอ้างเบื้องสูงเรียกรับผลประโยชน์ หมอหยองเป็นคนแรกที่เปิดเผยกิจกรรม "ปั่นเพื่อพ่อ Bike For Dad" ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 11 ธันวาคม 2558 และจากนั้นได้เดินสายเข้าร่วมประชุมกิจกรรม "ปั่นเพื่อพ่อ Bike For Dad" กับภาคเอกชนและภาครัฐบาลอย่างต่อเนื่อง โดยมีหลักฐานปรากฏในแฟนเพจ "สุริยัน หมอหยอง สุรจริตพลวงศ์" ดังนี้
วันที่ 1 ตุลาคม 2558 เข้าพบ "วิชัย ศรีวัฒนประภา" แห่งคิงเพาเวอร์และครอบครัว และในวันเดียวกันก็เข้าหารือกับ "มาดามแป้ง-นวลพรรณ ล่ำซำ" ประธานบริหารเมืองไทยประกันภัย
วันที่ 5 ตุลาคม 2558 เข้าพบหารือ "บิ๊กป๊อก-พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
วันที่ 9 ตุลาคม 2558 เข้าร่วมประชุมกับ "นายวีระ โรจน์พจนรัตน์" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อเตรียมการเรื่องการจัดโขนกลางแปลงพระราชทานในกิจกรรมวันปั่นเพื่อพ่อ
วันที่ 11 ตุลาคม 2558 ปฏิบัติหน้าที่ประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ของสมาคมจักรยานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยมอบเหรียญรางวัลให้กับนักกีฬาที่เข้าร่วมแข่งขันจักรยานรายการ ACC ASIAN TRACK
วันที่ 14 ตุลาคม 2558 เข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมการจัดกิจกรรมปั่นจักรยานฝ่ายต่างประเทศ โดยมีนายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นประธาน ตามต่อด้วยการเข้าร่วมประชุมกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ ซึ่งมี ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ที่กรมประชาสัมพันธ์ และเป็นการโพสต์ข้อความสุดท้ายของหมอหยองก่อนที่จะถูกจับกุมดำเนินคดีในการ แอบอ้างเบื้องสูง
ขณะที่ "สารวัตรเอี๊ยด" นั้นถือเป็นนายตำรวจคนดัง ที่มีคดีความถึงขั้นถูกไล่ออกจากราชการไปแล้วครั้งหนึ่งเมื่อครั้งมียศ ร.ต.อ.ในตำแหน่ง รอง สว.งาน1กก.4 ศูนย์ข้อมูลข้อสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ด้วยข้อหากระทำความผิดวินัยร้ายแรง ปลอมแปลงลายพระหัตถ์ กำหนดการเสด็จของสมเด็จพระสังฆราช ตามคำสั่งตร.ที่ 441/2541 เมื่อปี พ.ศ.2541
ต่อมา พ.ต.ต.ปรากรมได้ทำเรื่องขอกลับเข้ารับราชการใหม่หลังอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง โดยในการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร. เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2558 ซึ่งมีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน ได้มีมติเอกฉันท์ให้รับกลับเข้ารับราชการตำรวจอีกครั้งในตำแหน่งสารวัตร สังกัดกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ ปอท.
มติ ก.ตร.ให้เหตุผลว่า เหตุที่ให้กลับเข้ารับราชการเป็นเพราะพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง และผ่าน พ.ร.บ. ล้างมลทิน แสดงว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ประกอบกับทางกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พิจารณาแล้วเห็นว่ามีความรู้ความสามารถและจบการศึกษาด้านเทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ฯ จึงพิจารณาเพิ่มยศ และให้สังกัด ปอท. เพื่อให้เข้ามาแก้ไขปัญหาเรื่องเว็บไซต์หมิ่นสถาบัน
"พิจารณาแล้วเห็นว่า ร.ต.อ.ปรากรม ไม่ได้กระทำความผิดจริง อีกทั้งพนักงานอัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง ถือว่าเป็นผู้ที่ไม่ได้มีความผิดติดตัว และผ่านการนิรโทษกรรม พ.ร.บ. ล้างมลทิน แล้ว ประกอบกับเห็นว่าเป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ จบปริญญาโทด้านเทคโนโลยี ซึ่งน่าจะสามารถช่วยงานแก้ปัญหาเว็บไซต์หมิ่น และเว็บไซต์ผิดกฎหมายอื่นๆ ได้ จึงเสนอ ก.ตร. ให้รับกลับเข้าราชการอีกครั้ง โดยที่ประชุม ก.ตร. มติเอกฉันท์ ส่วนสาเหตุได้กลับมาอยู่ในตำแหน่งที่สูงขึ้นเนื่องจากที่ประชุมเห็นว่าไม่ ได้มีความผิดจริงตามถูกกล่าวหา เมื่อกลับเข้ามาจึงต้องให้สิทธิที่ก่อนหน้านี้ได้รับผลกระทบเสียสิทธิไป" พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.ในขณะนั้นแจกแจงเหตุผลเมื่อครั้งรับสารวัตรเอี๊ยดกลับเข้ารับราชการ
สารวัตรเอี๊ยดได้รับคำสั่งให้ช่วยราชการที่ กก.2 บก.ป. โดยได้รับมอบหมายหน้าที่หลักในการตรวจสอบรวบรวมพยานหลักฐานและข้อมูลต่างๆ อันเป็นที่มาของการทลายเครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก.ในคดีหมิ่นเบื้องสูง รวมทั้งมีการตรวจค้นและยึดทรัพย์สินจำนวนมากจนเป็นข่าวโด่งดังในช่วงก่อน หน้านี้
ทั้งนี้ พล.ต.อ.สมยศได้เซ็นคำสั่งไว้เมื่อวันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา วันสุดท้ายก่อนจะเกษียณอายุราชการ โดยให้ พ.ต.ต.ปรากรมมาดำรงตำแหน่ง สว.กก.ปพ.บก.ป.ซึ่งจะมีผลในวันที่ 30 ตุลาคมนี้ แต่ทาง พ.ต.ต.ปรากรม กลับมาถูกจับกุมคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูงและถูก พล.ต.อ.จักรทิพย์มีคำสั่งให้ออกจากราชการในขณะนี้
เกี่ยวกับชีวิตส่วนตัว สารวัตรเอี๊ยดเคยให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร "คอปส์แมกกาซีน" ฉบับเดือนเมษายน 2558 สรุปใจความได้ว่า เป็นลูกชายของ พล.ต.ท.วัฒนชัย วารุณประภา เป็นลูกคนที่ 2 ในจำนวนพี่น้อง 4 คน สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนเซนต์คาเบรียล และโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา จากนั้นได้รับทุนจากกระทรวงกลาโหมให้ไปศึกษาต่อที่โรงเรียนนายร้อยที่ประเทศ อังกฤษ หลังจากสำเร็จการศึกษาตามหลักสูตรจึงเข้ารับราชการทหารในสังกัดศูนย์การทหาร ปืนใหญ่
ในช่วงต้นของการรับราชการตำรวจได้สังกัดศูนย์ข้อมูลข่าวสาร โดยเคยรับหน้าที่เป็นอนุกรรมการจัดซื้อจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ทดแทนระบบ คอมพิวเตอร์เดิมที่ล้าสมัย จากนั้นได้เข้าอุปสมบทที่วัดบวรนิเวศฯ โดยช่วงที่บวชเป็นพระภิกษุและลาสิกขาได้ทำหน้าที่ตามเสด็จสมเด็จพระสังฆราช เป็นที่มาของคำเรียกว่า "นายเวรพระสังฆราช" ซึ่งมีหน้าที่คอยดูแลรับใช้ ดูหมายเสด็จ มีนามเรียกขานว่า "นว.รังษี 1" ออกวิทยุสื่อสารประสานงานตำรวจ ต่อมา พ.ต.ต.ปรากรม ได้ถูกกล่าวหาว่าปลอมลายพระหัตถ์สมเด็จพระสังฆราช จากกรณีเรื่องเส้นทางเสด็จของสมเด็จพระสังฆราช จนเป็นสาเหตุที่ถูกให้ออกจากราชการ แต่ภายหลัง พ.ต.ต.ปรากรม พ้นจากข้อกล่าวหาเนื่องจากอัยการสั่งไม่ฟ้องคดี และผ่าน พ.ร.บ.ล้างมลทิน
และเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2558 สารวัตรเอี๊ยดเพิ่งได้รับโล่เกียรติยศจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติในฐานะตำรวจ ดีเด่น พร้อมเข้ารับโล่จาก พล.ต.อ.สมยศ ก่อนถูกหมายจับพร้อมกับหมอหยองในคดีแอบอ้างสถาบันเรียกรับผลประโยชน์
สารวัตรเอี๊ยดนั้นถือว่ามีความสนิทสนมและทำงานร่วมกับหมอหยองมาโดยตลอด จนอาจใช้คำว่าอยู่ใน "ก๊วนเดียวกัน" เลยก็คงจะว่าได้
ด้านนายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ หรืออาท ชัตเตอร์มหาเทพนั้นถือเป็นคนสนิทและทำงานให้กับหมอหยองในฐานะเลขานุการส่วน ตัว โดยมักติดสอยห้อยตามหมอหยองไปเข้าร่วมประชุมในที่ต่างๆ เสมอ
อาท เกิดเมื่อวันที่ 9 ม.ค.2529 ภูมิลำเนาเป็นชาวจังหวัดตรัง เป็นคนบ้านเดียวกับหมอหยอง นามสกุลเดิมคือ "ทองนา" ก่อนที่ภายหลังจะขอจดทะเบียนชื่อสกุลเป็น "วัฒนเทวาศิลป์" เมื่อวันที่ 26 ม.ค.2558
จากการตรวจสอบข้อมูลที่ผ่านมา โดยเฉพาะในเฟซบุ๊กส่วนตัว พบว่า มีภาพจำนวนมากที่บ่งบอกถึงความสัมพันธ์กับหมอหยอง ในฐานะเจ้านายอย่างใกล้ชิด รวมทั้งเวลาที่หมอหยองออกงานเข้าพบบุคคลสำคัญ เช่น นายวิชัย ศรีวัฒนประภา ประธานกรรมการกลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ หรือจะเป็นนายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ มหาเศรษฐีอันดับที่ 1 ของประเทศไทย ก็ยังมีรูปถ่ายร่วมกัน
นอกจากนี้ ยังพบว่า เขายังเคยรับมอบเข็มเครื่องหมาย วชิราวุธ ของกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ โดยระบุว่าเป็นผู้ที่บำเพ็ญคุณงามความดี มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี เมื่อวันที่ 31 มี.ค.ที่ผ่านมา รวมทั้งยังได้รับเข็มศักดิ์เดช ของกรมทหารปืนใหญ่ 1 รักษาพระองค์ ในฐานะสนับสนุนและสร้างคุณงามความดีให้กับกรมทหาร และกองทัพบก เมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมาอีกด้วย
และนั่นคือเรื่องราวของ "หมอหยองแอนด์เดอะแก๊ง" ที่วันนี้ "ดวงแตก" ตกสวรรค์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
No comments:
Post a Comment
Note: Only a member of this blog may post a comment.