ยินดีต้อนรับ

พลเมืองที่รอบรู้เท่าทัน คือ พลังประชาธิปไตยที่แท้จริง
Well-informed citizens are the true democratic forces.

Wednesday, November 5, 2025

🗽 Mamdani’s Core Campaign Promises & Communism-Aligned Attributes


Zohran Mamdani’s key promises as NYC mayor focus on affordability, equity, and progressive reform.
Here are the main policies he pledged during his campaign:



  Freeze rents citywide  

To combat the housing crisis, Mamdani proposed halting rent increases for all tenants across New York City A B.

  Make public buses free  

He aims to eliminate fares on city buses to improve accessibility and reduce transportation costs A.

  Raise the minimum wage  

Mamdani supports increasing the city’s minimum wage to better reflect the cost of living A.

  Tax the wealthy more aggressively  

He plans to raise taxes on New York’s richest residents to fund public services and reduce inequality A.


  Expand affordable childcare  

His platform includes increasing access to low-cost childcare to support working families C.

  Support solidarity economies  

Mamdani advocates for cooperative business models and community-owned enterprises to empower local neighborhoods C.

  Oppose ICE and Trump-era immigration policies  

He has pledged to dismantle systems that enable federal immigration enforcement in NYC and position himself as “Trump’s worst nightmare” D.

  Support Palestinian rights and criticize Israeli policies  

Mamdani has taken a strong stance on international issues, particularly advocating for Palestinian rights D.


🔍 Communism-Aligned Attributes in Mamdani’s Policies


  Collective ownership and redistribution of wealth

  ⁠◦  Policy: Taxing the wealthy more aggressively

  ⁠◦  Communist parallel: Emphasizes reducing income inequality through redistribution of resources from the rich to the working class.

  Universal access to essential services

  ⁠◦  Policy: Free public buses and expanded affordable childcare

  ⁠◦  Communist parallel: Advocates for state-provided services to ensure equal access regardless of income.

  Housing as a human right

  ⁠◦  Policy: Citywide rent freeze

  ⁠◦  Communist parallel: Rejects housing as a commodity; supports government intervention to protect tenants and prevent profit-driven exploitation.

  Worker empowerment and solidarity economies

  ⁠◦  Policy: Support for cooperative businesses and solidarity economies

  ⁠◦  Communist parallel: Promotes collective ownership and democratic control of production, aligning with Marxist ideas of worker-led enterprises.

  Anti-imperialism and international solidarity

  ⁠◦  Policy: Support for Palestinian rights and criticism of U.S. foreign policy

  ⁠◦  Communist parallel: Reflects anti-colonial and anti-imperialist stances often found in leftist movements globally.



Tuesday, November 4, 2025

คนเสื้อแดง ตายเพราะทหารยิง หรือชายชุดดำฆ่า? ความจริงที่คนไทยต้องรับรู้

 


1) ข้อเท็จจริงตั้งต้นจากรายงานของรัฐเอง

คณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ (TRCT/กสมส.) ที่รัฐบาลตั้งเอง รายงานเมื่อปี 2555 ว่าเหตุการณ์ เม.ย.–พ.ค. 2553 มีผู้เสียชีวิตราว 92 คน และบาดเจ็บกว่า 2,000 คน และระบุชัดว่าการปฏิบัติการของฝ่ายความมั่นคงเป็น “ปัจจัยสำคัญ” ของการตายจำนวนมาก ไม่ใช่ตายเอง หรือยิงกันเองทั้งหมดอย่างที่โฆษณาชวนเชื่อบางสายพูดไว้. CSIS

นี่คือหลักฐานระดับ “รัฐรับรู้และบันทึกไว้แล้ว” ว่ามีการใช้กำลังทหารจริงและมีคนตายจำนวนมากจริง


2) หลักฐาน “ศาลไทย” ชี้ตรง ๆ ว่าทหารยิง

2.1 คดีวัดปทุมวนาราม (19 พ.ค. 2553)

ศาลอาญากรุงเทพใต้มีคำไต่สวนการตายเมื่อปี 2556 ว่า คน 6 คนที่หลบในวัดปทุมฯ ซึ่งถูกประกาศเป็นเขตปลอดภัย ถูกยิงจากทหารบนรางรถไฟฟ้าและบนถนนพระราม 1 และผู้ตายทุกคนไม่มีอาวุธ ศาลยังไม่รับข้ออ้างเรื่องมี “มือที่สามในวัด” เพราะพยานหลักฐานไม่พอจะเชื่ออย่างนั้น Khaosod English+3The Guardian+3The Guardian+3

ใน 6 คนนี้มี พยาบาลอาสา กมลเกด “เคท” อัคฮาด ที่กำลังช่วยคนเจ็บแล้วถูกยิงตาย ศาลยืนยันว่ากระสุนมาจากฝ่ายทหาร นี่คือหลักฐานทางศาลที่ชัดและจับคนตายตัวได้เลยว่า “ทหารยิงพลเรือนไม่มีอาวุธ” ไม่ใช่แค่เล่าว่า “ทหารยิงแน่ ๆ” เฉย ๆ. Human Rights Watch+2nationthailand+2

2.2 คดีช่างภาพอิตาลี ฟาบิโอ โปเลงกี

ศาลอาญากรุงเทพใต้ไต่สวนการตายของช่างภาพอิตาลี ฟาบิโอ เมื่อปี 2556 และชี้ว่า กระสุนที่ฆ่าเขามาจากทิศทางที่ทหารกำลังเข้าปฏิบัติการสลายการชุมนุม แม้ศาลจะไม่ได้ระบุตัวมือปืนรายบุคคล แต่ก็ระบุทิศทางและหน่วยที่ปฏิบัติว่าเป็นฝ่ายรัฐ ไม่ใช่ผู้ชุมนุมยิงกันเอง นี่ก็เป็นหลักฐานทางการจากศาลไทยอีกชิ้นหนึ่ง. Voice of America+2Bangkok Post+2

สองคดียอดฮิตนี้สำคัญมาก เพราะ

  1. เป็นคดีศาลไทย

  2. ศาลใช้พยานหลักฐานจากหน่วยงานไทยเอง

  3. ผลสรุปชี้ไปที่ “ทหาร/กำลังฝ่ายรัฐ” อย่างชัดเจน


3) ทำไมยังมีคนพูดว่า “ไม่เห็นมีหลักฐานว่าทหารยิง”

เพราะเขาไม่พูดถึงคำไต่สวนเหล่านี้ หรือบอกว่ามันเป็นแค่ “คดีเดียว/สองคดี” แล้วก็เอาความรุนแรงของ “กลุ่มติดอาวุธ” มาโต้เพื่อทำให้ภาพมันคลุมเครือ แต่ข้อเท็จจริงคือ แม้จะมีกลุ่มติดอาวุธจริง ศาลก็ยังชี้ได้ในกรณีวัดปทุมฯ ว่ากระสุนที่ฆ่าคนพวกนั้นมาจากทหาร ไม่ใช่จากมือที่สาม ซึ่งหักคำอ้างนี้ตรง ๆ เลย. The Guardian+1


4) แล้วทำไมคดีใหญ่ ๆ ถึงไม่คืบ ทั้ง ๆ ที่มีคนตายเยอะมาก?

ปมมันอยู่ที่ “จะเอาผิดใครระดับนโยบาย” นี่แหละ สหายรัก

  1. DSI กับรัฐบาลยิ่งลักษณ์เคยพยายามชี้ขึ้นไปถึงอภิสิทธิ์–สุเทพ ว่าสั่งการภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จึงอาจเข้าข่ายฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา/ร่วมกันฆ่า แต่ศาลอาญาบอกว่า “ศาลอาญาไม่มีเขตอำนาจ ต้องให้ ป.ป.ช. เป็นคนชี้ก่อนเพราะทั้งสองเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงตอนนั้น” ทำให้คดีถูกโยนไปที่ ป.ป.ช. แล้วก็ช้าไปหมด. Human Rights Watch+1

  2. ป.ป.ช. เองก็ออกมาบอกชัด ๆ ว่าคดีนี้ “ยาก” เพราะมีความรุนแรงจากผู้ชุมนุมด้วยและเป็นการปฏิบัติการรักษาความมั่นคง นี่คือการเปิดประตูให้เหตุผลแบบ “ทำตามหน้าที่/คำสั่งรัฐ” เข้ามาบดบังความรับผิดส่วนตัว ทำให้ไม่มีใครในกองทัพขึ้นศาลอาญาในที่สุด. Khaosod English

  3. หลังรัฐประหาร 2557 บรรยากาศการเอาผิดทหารก็ยิ่งหายไปเลย สื่อรายงานว่า 10 ปีผ่านไปไม่มีทหารคนไหนถูกนำขึ้นศาลในคดีนี้ กองทัพตอบแบบตรง ๆ ว่า “ไม่มีทหารคนใดถูกฟ้อง” ซึ่งแปลว่าระบบก็ปิดฝาไปโดยปริยาย. Khaosod English+1

  4. โครงสร้างกฎหมายไทยไม่ได้ออกแบบมาให้ลาก “สายบังคับบัญชา” ของกองทัพขึ้นศาลง่าย ๆ ต่างจากบางประเทศที่ใช้หลัก command responsibility พอศาลชั้นต้นไต่สวนการตายได้ว่าทหารยิงจริง แต่จะ “ระบุตัวผู้สั่งการและฟ้องเป็นคดีอาญา” ต้องอ้อมผ่าน ป.ป.ช. กับศาลฎีกานักการเมือง ซึ่งเป็นช่องที่ทำให้คดีแช่แข็งได้ยาว ๆ. Human Rights Watch+1

  5. ยังมีการเมืองเรื่องนิรโทษกรรม–ปรองดองที่ค้างอยู่ ฝ่ายการเมืองบางส่วนก็อยากให้ปิดแฟ้มทั้งสองฝ่าย (แดง–รัฐ) เพื่อเดินหน้าต่อ ซึ่งยิ่งทำให้การตามตัวมือปืนในเครื่องแบบเงียบไป

รวม ๆ แล้วมันคือคอมโบของ

  • ช่องกฎหมาย

  • อำนาจทหารหลัง 2557

  • องค์กรอิสระที่ไม่กัดเต็มปาก

  • และการเมืองที่อยากปิดเรื่อง


5) แล้วทำไมคนไทยบางส่วนไม่ยอมเชื่อ แถมสะอกสะใจ?

  1. การทำให้ฝ่ายเสื้อแดงกลายเป็น “พวกทำลายชาติ/เผาบ้านเผาเมือง” ถูกฉายซ้ำตลอดเดือนเมษายน–พฤษภาคม 2553 และหลังจากนั้น ทำให้ในจิตวิทยาสังคม คนจำนวนหนึ่งมองว่า “ถ้าทหารยิงก็สมควร” เลยไม่สนใจรายละเอียดคดี. ในรายงาน HRW ยังบันทึกโทนนี้ไว้ว่าเจ้าหน้าที่รัฐเองก็พูดทำนองว่า ทหารถูกสั่งให้ทำภารกิจแล้วจึงไม่ต้องรับผิด. Human Rights Watch+1

  2. สื่อกระแสหลักตอนนั้นรายงานไม่ครบเท่าสื่อภาคสนาม/ต่างประเทศ จึงทำให้คนจำนวนหนึ่งไม่เคยเห็นภาพวัดปทุมฯ หรือศพพยาบาลอาสาแบบเต็ม ๆ

  3. มันง่ายกว่าที่จะบอกว่า “เขายิงกันเองเพราะมีชายชุดดำ” เพราะช่วยลดความผิดของรัฐ คนก็เลยเลือกเชื่ออันที่ทำให้ตัวเองไม่ต้องโทษรัฐ


6) สรุปแบบฟันธง

  • มีหลักฐานทางการแน่นอนว่าทหารยิงคนเสื้อแดงและพลเรือนไม่มีอาวุธ เช่น คำไต่สวนการตายวัดปทุมฯ และคดีฟาบิโอ และมันสอดคล้องกับรายงาน TRCT ที่บอกว่าปฏิบัติการของรัฐทำให้คนตายจำนวนมาก. Human Rights Watch+3CSIS+3The Guardian+3

  • คดีไม่คืบเพราะระบบกฎหมายไทยบังคับให้ต้องผ่าน ป.ป.ช./ศาลนักการเมืองก่อน บวกกับอำนาจทหารและบรรยากาศหลังรัฐประหารที่ไม่เอื้อ และสุดท้ายก็ล่วงเลยเวลาจนพยานหลักฐานเย็นลง. Khaosod English+2Khaosod English+2

  • การที่บางคนยังไม่เชื่อหรือสะใจ เป็นผลจากการทำให้ผู้ชุมนุม “ด้อยมนุษย์” ลงในวาทกรรมการเมืองปีนั้น ไม่ใช่เพราะไม่มีหลักฐาน

Thursday, October 23, 2025

หลักการมอนโร (Monroe Doctrine) – จากอดีตสู่ปัจจุบัน เมื่อสหรัฐจัดระเบียบหลังบ้านอีกครั้ง


รายงานนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ผู้อ่านที่สนใจด้านการเมืองและภูมิรัฐศาสตร์ได้รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับหลักการมอนโร โดยเน้นเนื้อหาที่ละเอียดแต่เข้าใจง่าย ใช้ภาษาที่ไม่ซับซ้อน หัวข้อย่อย และรายการจุดเพื่อความสะดวกในการอ่าน เราจะเริ่มจากพื้นฐานประวัติศาสตร์ หลักการสำคัญ การวิวัฒนาการ ตัวอย่างการนำไปใช้ และความเกี่ยวข้องกับสถานการณ์โลกในปี 2025บทนำหลักการมอนโรคืออะไร? มันคือเอกสารนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาที่ประกาศในปี ค.ศ. 1823 โดยประธานาธิบดีเจมส์ มอนโร นโยบายนี้เปรียบเสมือน "รั้วกั้น" ที่สหรัฐฯ สร้างขึ้นเพื่อปกป้องทวีปอเมริกาเหนือและใต้จากอิทธิพลของมหาอำนาจยุโรป ในยุคที่หลายประเทศในละตินอเมริกาเพิ่งได้รับเอกราช มันไม่ใช่กฎหมาย แต่เป็นคำเตือนที่ส่งผลกระทบยาวนานต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จนถึงปัจจุบัน มันยังถูกนำมาอ้างอิงในสถานการณ์เช่นการแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ กับจีนหรือรัสเซียในภูมิภาคละตินอเมริกาประวัติศาสตร์พื้นหลังในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ยุโรปกำลังวุ่นวายกับสงครามนโปเลียน ซึ่งทำให้จักรวรรดิสเปนและโปรตุเกสในละตินอเมริกาล้มสลาย ส่งผลให้หลายประเทศ เช่น เม็กซิโก อาร์เจนตินา และบราซิล ได้รับเอกราช สหรัฐฯ ซึ่งเพิ่งได้รับเอกราชจากอังกฤษไม่นาน กลัวว่ามหาอำนาจยุโรป เช่น รัสเซีย ฝรั่งเศส หรืออังกฤษ จะเข้ามายึดครองพื้นที่เหล่านี้ใหม่
  • แรงบันดาลใจหลัก: มาจากคำแนะนำของรัฐมนตรีต่างประเทศ จอห์น ควินซี อดัมส์ ที่ต้องการให้สหรัฐฯ แสดงจุดยืนชัดเจน โดยได้รับการสนับสนุนจากอังกฤษซึ่งต้องการค้าขายเสรีในภูมิภาคนี้
  • การประกาศ: มอนโรประกาศในสุนทรพจน์ต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 1823 โดยเน้นว่าอเมริกาเป็น "เขตปลอดภัย" สำหรับรัฐเอกราชใหม่ๆ
ในตอนแรก นโยบายนี้ไม่ได้มีอิทธิพลมากนัก เพราะสหรัฐฯ ยังอ่อนแอทางทหาร แต่ต่อมาเมื่อสหรัฐฯ แข็งแกร่งขึ้น มันกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการขยายอิทธิพลหลักการสำคัญหลักการมอนโรมีสามประการหลักที่ชัดเจนและตรงไปตรงมา :
  • ห้ามล่าอาณานิคมใหม่: ยุโรปไม่สามารถตั้งอาณานิคมใหม่ในทวีปอเมริกาได้อีก พื้นที่ที่เหลือถือเป็นเขตของรัฐเอกราชในภูมิภาคนี้
  • ห้ามแทรกแซง: ห้ามมหาอำนาจยุโรปเข้าไปควบคุมหรือแทรกแซงรัฐเอกราชในละตินอเมริกา หากทำจะถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐฯ โดยตรง
  • ความเป็นกลางของสหรัฐฯ: สหรัฐฯ สัญญาว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในยุโรปหรือสงครามของพวกเขา เพื่อแลกกับการที่ยุโรปไม่ยุ่งกับอเมริกา
หลักการเหล่านี้สร้าง "เขตอิทธิพล" แยกกันระหว่างโลกเก่า (ยุโรป) และโลกใหม่ (อเมริกา)การวิวัฒนาการของหลักการมอนโรหลักการนี้ไม่ได้หยุดนิ่ง แต่ถูกตีความและปรับใช้ใหม่ตามยุคสมัย :
  • ยุคแรก (1823-1900): เน้นการป้องกัน มันถูกนำมาใช้ในปี 1865 เพื่อขับไล่ฝรั่งเศสออกจากเม็กซิโก
  • หลักการเสริมของรูสเวลต์ (Roosevelt Corollary, 1904): ประธานาธิบดีธีโอดอร์ รูสเวลต์ขยายความ โดยประกาศว่าสหรัฐฯ มีสิทธิ์แทรกแซงในละตินอเมริกาเพื่อป้องกันความวุ่นวาย เช่น กรณีหนี้สินของเวเนซุเอลาที่อาจนำไปสู่การบุกของยุโรป สหรัฐฯ จะทำหน้าที่ "ตำรวจระหว่างประเทศ" เพื่อรักษาความสงบ นี่เปลี่ยนจาก "ป้องกัน" เป็น "แทรกแซงเชิงรุก"
  • ยุคสงครามเย็น (1945-1991): สหรัฐฯ ใช้หลักการนี้ต่อต้านคอมมิวนิสต์ เช่น การสนับสนุนรัฐประหารในกัวเตมาลา (1954) และชิลี (1973) เพื่อป้องกันอิทธิพลโซเวียต
  • ยุคหลัง (1990s-ปัจจุบัน): การตีความกว้างขึ้น รวมถึงการต่อต้านอิทธิพลจากนอกยุโรป เช่น จีนและรัสเซีย
ตัวอย่างการนำไปใช้ในประวัติศาสตร์เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน นี่คือตัวอย่างสำคัญ:
  • กรณีเม็กซิโก (1865): สหรัฐฯ ใช้หลักการมอนโรกดดันฝรั่งเศสให้ถอนทัพจากเม็กซิโก หลังจากที่จักรพรรดินโปเลียนที่ 3 พยายามตั้งหุ่นเชิดปกครอง
  • สงครามสเปน-อเมริกา (1898): สหรัฐฯ ยึดคิวบาและเปอร์โตริโก โดยอ้างหลักการนี้เพื่อป้องกันการครอบงำของสเปน
  • วิกฤตเวเนซุเอลา (1902-1903): เยอรมนีและอังกฤษบุกเวเนซุเอลาเพื่อเก็บหนี้ รูสเวลต์ใช้ Corollary เพื่อแทรกแซงและแก้ปัญหา
  • ยุคสงครามเย็น: การบุกอ่าวหมูในคิวบา (1961) เพื่อโค่นฟิเดล คาสโตร ซึ่งสหรัฐฯ มองว่าเป็นภัยจากโซเวียต
ตัวอย่างเหล่านี้แสดงว่าหลักการมอนโรถูกใช้ทั้งเพื่อป้องกันและขยายอำนาจความเกี่ยวข้องในยุคปัจจุบัน (ปี 2025)ในปี 2025 หลักการมอนโรยังคงมีชีวิตชีวา โดยเฉพาะในบริบทการแข่งขันมหาอำนาจ สหรัฐฯ มองละตินอเมริกาเป็น "สวนหลังบ้าน" และใช้มันต่อต้านอิทธิพลจากจีน รัสเซีย และอิหร่าน
  • ต่อต้านจีน: จีนลงทุนมหาศาลในละตินอเมริกา เช่น โครงการเข็มขัดและเส้นทาง (Belt and Road) ในเวเนซุเอลาและบราซิล สหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาลทรัมป์ (สมมติว่ากลับมาปกครอง) พยายาม "ฟื้นฟู" หลักการมอนโรเพื่อขับไล่จีน เช่น การกดดันไม่ให้ประเทศเหล่านี้รับการลงทุนจากจีน
  • รัสเซียและอิหร่าน: รัสเซียสนับสนุนเวเนซุเอลาและคิวบา สหรัฐฯ ใช้หลักการนี้ในการคว่ำบาตรและกดดัน
  • มอนโร 2.0: มีการเสนอ "หลักการมอนโรสมัยใหม่" ที่เน้น nearshoring (ย้ายฐานผลิตใกล้บ้าน) เพื่อเสริมเศรษฐกิจละตินอเมริกาและลดการพึ่งพาจีน เช่น การส่งเสริมการค้าภายในซีกโลกตะวันตก
อย่างไรก็ตาม นักวิจารณ์มองว่ามันเป็นเครื่องมือจักรวรรดินิยมที่ทำให้ละตินอเมริกาไม่พอใจ ในปี 2025 มันยังถูกนำมาเปรียบเทียบกับนโยบายของจีนในทะเลจีนใต้หรือรัสเซียในยูเครน ซึ่งแสดงถึงการกำหนดเขตอิทธิพลในโลก multipolarสรุปหลักการมอนโรเริ่มต้นจากคำเตือนป้องกันตัว แต่พัฒนาเป็นเครื่องมือขยายอิทธิพลของสหรัฐฯ ในซีกโลกตะวันตก ในปี 2025 มันยังคงเกี่ยวข้องกับการแข่งขัน geopolitical โดยเฉพาะการต่อต้านจีนและรัสเซีย หากคุณเป็นนักศึกษาการเมือง ลองคิดว่ามันจะปรับตัวอย่างไรในโลกที่เชื่อมโยงกันมากขึ้น – มันยังคงเป็น "รั้ว" ที่แข็งแกร่ง หรือกำลังถูกท้าทายจากมหาอำนาจใหม่? สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม แนะนำอ่านเอกสารต้นฉบับจาก National Archives หรือบทวิเคราะห์ล่าสุดจาก Foreign Policy